แฟชั่นฮาราจูกุที่บอกเล่าโดย 3 ศิลปินแฟชั่นญี่ปุ่น

แฟชั่นฮาราจูกุมีความโดดเด่น โมเดิร์น และเต็มไปด้วยสีสัน เป็นสิ่งที่ช่วยสะท้อนเทรนด์ล่าสุดของญี่ปุ่น คุณเคยสงสัยไหมว่าแฟชั่นฮาราจูกุเกิดขึ้นอย่างไร ? แฝงไปด้วยความหมายอะไร ? และอะไรที่ทำให้ฮาราจูกุกลายเป็นจุดเริ่มต้นของแฟชั่นซับคัลเจอร์มากมายของญี่ปุ่น ? ซีรีย์ Culture of Japan ในครั้งนี้จะพาคุณไปเจาะลึกความหมายของแฟชั่นฮาราจูกุ ผ่านการสัมภาษณ์ 3 ศิลปินชื่อดัง ได้แก่ Minori00mon ศิลปินแต่งหน้าขาว, Cybr.grl อินฟลูเอนเซอร์แนว Decora, และ Hang_oroshi แฟชั่นครีเอเตอร์สไตล์ยามาโตะยุคโมเดิร์น

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

บทความนี้อาจมีลิงก์พาร์ทเนอร์ หากคุณทำการซื้อผ่านลิงก์พาร์ทเนอร์ เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ

ฮาราจูกุ - เส้นทางสู่การเป็นศูนย์กลางแฟชั่นญี่ปุ่น

จุดเริ่มต้นที่เรียบง่ายของฮาราจูกุ

ฮาราจูกุเป็นชื่อเรียกละแวกสถานีฮาราจูกุที่อยู่ระหว่างสถานีชินจูกุกับสถานีชิบูย่าของรถไฟสาย Yamanote ซึ่งเป็นรถไฟสายหลักของโตเกียว

ฮาราจูกุเป็นที่รู้จักในระดับโลกในฐานะแหล่งเผยแพร่ซับคัลเจอร์ของวัยรุ่นญี่ปุ่น และจุดชมอันเดอร์กราวแฟชั่นที่หลากหลายของโตเกียว บริเวณนี้เป็นจุดตัดผ่านของอดีตกับอนาคต มีจุดเด่นเป็นการผสมผสานกันอย่างสวยงามระหว่างร้านค้าที่มีเอกลักษณ์ ร้านเสื้อผ้าหรูหรา และบ้านเรือนเก่าแก่สไตล์ดั้งเดิม หากต้องการเข้าใจความหลากหลายของฮาราจูกุ ก็ขอแนะนำให้ดูที่ 2 ย่านหลักของเมืองนี้ ได้แก่ Takeshita Dori และ Omotesando

Takeshita Dori เรียงรายไปด้วยร้านของหวาน สินค้าจากตัวละครน่ารักๆ และร้านอินเทรนด์สีสันสดใส อีกด้านหนึ่ง Omotesando เป็นถนนสู่ศาลเจ้า Meiji Jingu ที่โด่งดังเป็นอันดับต้นๆ ของโตเกียว สองฝั่งขนาบไปด้วยต้นเคยากิสวยๆ เรียงรายไปด้วยร้านสาขาหลักของแบรนด์ชั้นเลิศและร้านค้าจากแบรนด์หรูระดับโลก

ฮาราจูกุที่ทันสมัยและแสนคึกคักนี้เดิมทีเป็นเพียงย่านที่พักแบบบ้านๆ ริมทางหลวง Kamakura Kaido บันทึกช่วงแรกๆ เกี่ยวกับฮาราจูกุในยุคคามาคุระ (ปี 1185 - 1333) ได้กล่าวไว้ว่าบริเวณนี้เป็นชุมชนเล็กๆ ที่ล้อมรอบด้วยพื้นที่แห้งแล้ง อาจเป็นที่มาของชื่อ "ฮาราจูกุ" ที่มีความหมายว่า "ย่านที่พักบนที่ราบ"

ส่วนหนึ่งของฮาราจูกุได้กลายเป็นที่อยู่อาศัยของตระกูลนักรบที่ร่ำรวยในยุคเอโดะ (ปี 1603 - 1868) และชนชั้นสูงในยุคเมจิ (ปี 1868 - 1912) จากนั้นก็ถูกซื้อโดยราชวงศ์หลวงและก่อตั้งเป็นศาลเจ้า Meiji Jingu ในปี 1920 เพื่อสักการะจักรพรรดิ Meiji Tenno ที่สิ้นพระชนม์เมื่อปี 1912 และจักรพรรดินี Shoken Kotaigo ผู้เป็นภรรยา

เมื่อเข้าสู่ยุค 1950 ชาวอเมริกามากมายก็ได้ย้ายถิ่นฐานมาอาศัยอยู่ที่บริเวณนี้ พร้อมกับนำเทรนด์ใหม่ๆ จากต่างประเทศมาเผยแพร่ให้กับคนฮาราจูกุ การเข้ามาของวัฒนธรรมแปลกใหม่นี้ช่วยกระตุ้นให้คนฮาราจูกุเริ่มแสวงหารสนิยมแฟชั่นที่เป็นของตัวเอง

การเบ่งบานขึ้นในฐานะแหล่งเผยแพร่แฟชั่น

ฮาราจูกุเริ่มพัฒนาสู่ที่เมืองแห่งคนหนุ่มสาวอย่างที่เรารู้จักกันในวันนี้ตั้งแต่ปี 1960 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการก่อตั้งสนามกีฬาแห่งชาติ Yoyogi และหมู่บ้านนักกีฬาสำหรับโตเกียวโอลิมปิกปี 1964

ในปี 1966 ร้านบูติกเต็มรูปแบบรายแรกของฮาราจูกุ Mademoiselle NONNON ก็ได้เปิดทำการขึ้น หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยคาเฟ่แนวโมเดิร์น ร้านอาหาร ร้านซื้อผ้า และแมนชั่นหรูหรามากมาย

เนื่องจากค่าเช่าบ้านในยุคนั้นถูกมาก ดีไซเนอร์ชาวญี่ปุ่นมากมายที่โด่งดังอยู่ในปัจจุบันจึงเคยมีออฟฟิศอยู่ที่ Harajuku Central Apartment อพาร์ทเม้นท์นี้เป็นจุดพบปะของเหล่าครีเอเตอร์ และได้ทำหน้าที่สำคัญในการพลักดันให้ฮาราจูกุกลายเป็นศูนย์กลางด้านแฟชั่น

ในยุค 70 ถึง 80 เมืองนี้ได้เต็มไปด้วยการแสดงดนตรีร็อคแบบเล่นสด และ Takenoko Zoku แดนเซอร์กรุ๊ปที่แต่งกายในเสื้อผ้าสีสันสดใส ช่วยเพิ่มความคึกคักให้กับความเป็นเมืองแห่งศิลปิน

หลังจากนั้นในปี 1974 ก็มีการก่อตั้งถนน Takeshita Dori ส่วนปี 1978 ก็มีการก่อตั้ง Laforet HARAJUKU ศูนย์การค้าที่วางจำหน่ายแบรนด์ท้องถิ่นของฮาราจูกุ และเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของบริเวณนี้ ช่วยเสริมความแข็งแกร่งในฐานะศูนย์กลางแฟชั่นวัยรุ่นที่มีเอกลักษณ์ให้กับฮาราจูกุ

กำเนิดแฟชั่นฮาราจูกุ

เมื่อเข้าสู่ยุค 90 บริเวณที่เรียกว่า Ura Harujuku (หรือ Urahara) ก็ถูกพัฒนาขึ้น เป็นเหมือนมุมลับของฮาราจูกุ เป็นตรอกแคบๆ ราวกับเขาวงกตที่แตกกิ่งก้านมาจาก Omotesando อัดแน่นไปด้วยร้านคัดแบรนด์ของสตรีทแฟชั่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว กล่าวได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของมูฟเม้นท์ทางสตรีทแฟชั่นของฮาราจูกุ

การแสดงออกทางแฟชั่นในยุคนี้ให้ความสำคัญกับความคิดสร้างสรรค์และความมีเอกลักษณ์เหนือสิ่งอื่นใด ส่งผลให้ผู้คนเริ่มแสดงออกความเป็นตัวเองผ่านสไตล์แฟชั่นที่หลากหลายและแตกต่างกันอย่างชัด กระแสนี้เองที่พลักดันให้เกิดซับคัลเจอร์ทางแฟชั่นที่ไม่เหมือนใครของญี่ปุ่น ซึ่งสามารถพบเห็นได้มากมายในปัจจุบัน

หนึ่งในซับคัลเจอร์ที่เกิดขึ้นในฮาราจูกุยุค 90 คือ Decora (ย่อมาจาก Decorative) เป็นสไตล์ที่ตกแต่งอย่างสุดโต่งและใช้สีสันป๊อปๆ ที่สดใสมากๆ มีจุดเด่นเป็นเครื่องประดับที่ดูขี้เล่น (แต่มีราคาถูก) ยกตัวอย่างเช่น การตกแต่งทับกันอย่างหลายชั้นด้วยสติ๊กเกอร์ กำไลข้อมือ สร้อยคอ และกิ๊บหนีบผมที่มีเอกลักษณ์ แฟชั่นซับคัลเจอร์ของฮาราจูกุนี้ได้รับอิทธิพลมาจากการเดบิวต์ของ Shinohara Tomoe ผู้เป็นทาเลนต์ของศิลปินของญี่ปุ่น โดยเริ่มต้นขึ้นจากการที่แฟนๆ ได้ลอกเลียนแบบสไตล์การแต่งตัวที่ทำให้เธอที่ชื่อเสียง ประกอบไปด้วยการใช้สีสันสดใส เครื่องประดับ 100 เยนที่ระยิบระยับ รวมถึงเครื่องประดับของเล่นอย่างแหวนและกำไลข้อมือ ส่งผลเกิดเป็น Shinora Fashion ที่กล่าวได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของ Decora

Lolita ก็เป็นอีกแฟชั่นฮาราจูกุที่โด่งดังมากๆ ซึ่งเกิดขึ้นในยุค 90 ถึง 2000 มีจุดเด่นเป็นการแต่งกายที่คล้ายกับเจ้าหญิงหรือตุ๊กตา ตกแต่งอย่างอลังการด้วยลูกไม้ ริบบิ้น และชายผ้า ได้รับอิทธิพลมาจากแฟชั่นโรโกโกของฝรั่งเศสและแฟชั่นอังกฤษยุควิกตอเรียตอนต้น ที่จริงแล้วแฟชั่น Lolita นี้มีมาตั้งแต่ยุค 70 โดยได้ขึ้นมาเป็นหนึ่งในแฟชั่นฮาราจูกุกระแสหลักหลังจากยุค 90 เป็นต้นไป ในยุค 90 แฟชั่นสไตล์นี้ได้รับการกล่าวถึงโดยนิตยสารแฟชั่นมากมาย และในปี 2004 ก็ได้ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ญี่ปุ่นชื่อดังเรื่อง Shimotsuma Monogatari ส่งผลให้เป็นที่รู้จักไปอย่างกว้างขวาง พลักดันให้ Lolita กลายเป็นหนึ่งในเสาหลักของแฟชั่นฮาราจูกุ

แฟชั่นฮาราจูกุในปัจจุบัน

Minori00mon - cybr.grl - hang_oroshi

เพื่อเข้าใจความสำคัญและซับซ้อนของแฟชั่นฮาราจูกุในสังคมญี่ปุ่น เราได้สอบถามเรื่องราวจากผู้เชี่ยวชาญแฟชั่นฮาราจูกุ 3 ท่าน ได้แก่ คุณ minori (Minori00mon), คุณ Christina (cybr.grl), และคุณ Arai (hang_oroshi)

Minori00mon - สร้างศิลปะที่มีชีวิตผ่านแฟชั่นและการแต่งหน้าขาว

คุณ minori เป็นผู้ที่แต่งหน้าขาวราวกับเทพนิยาย และสวมเครื่องแต่งกายเข้ากันกับการแต่งหน้าดังกล่าว เน้นความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองเป็นหลักโดยไม่มีสไตล์ที่เจาะจง เป็นเหมือนกับไอคอนที่ดูลึกลับและน่าหลงใหลของฮาราจูกุ ในช่วงมัธยมปลายเธอได้สนใจในแฟชั่น Gothic และ Lolita แต่ก็เกิดความรู้สึกว่า "เสื้อผ้าเหล่านั้นโดดเด่นเกินไป ทำให้ใบหน้าดูผิดที่ผิดทาง" ในระหว่างที่ค้นหาวิธีแก้ไขปัญหานี้ เธอก็ได้พบกับวิธีแต่งหน้าขาวจากการแนะนำของเพื่อน

การแต่งหน้าขาวหรือ Shironuri เป็นวิธีแต่งหน้าที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่ชนชั้นสูงยุคเฮอัน (ปี 794 - 1185) ปัจจุบันได้กลายมาเป็นคำที่มีความหมายเดียวกับศิลปะดั้งเดิมอย่างเกอิชาและนักแสดงคาบูกิ การแต่งหน้าขาวมีประวัติศาสตร์อยู่ญี่ปุ่นกว่า 1,000 ปี แต่วิธีใช้แบบคุณ minori ก็ไม่เคยมีมาก่อน เธอได้รับอิทธิพลจากการสมมุติตัวตนให้กับธรรมชาติ ซึ่งมักพบเห็นได้ตามพื้นที่ชนบท อนิเมะ และมังงะ นำไปสู่แนวคิดว่ามีเทพอยู่ในธรรมชาติทุกอย่างรอบตัวเรา ใกล้เคียงกับคอนเซ็ปต์ Yaoyorozu no Kami ของชินโต

คุณ minori กล่าว่า "หลังจากนั้นจึงตัดสินใจที่จะสร้างผลงานโดยผสมผสานการแต่งหน้าขาวเข้ากับธรรมชาติ กลายมาเป็นฉันในปัจจุบันนี้" การแต่งหน้าขาวที่ละเอียดอ่อนและเสื้อผ้าที่มีเอกลักษณ์ของเธอก่อให้เกิดแฟชั่นสไตล์ใหม่ จนทำให้ปัจจุบันมีผู้ติดตามใน Instagram ถึงกว่า 130,000 คน

Cybr.grl - แชร์เสน่ห์ของ Decora ให้กับแฟนทั่วโลก

คุณ Christina เป็นคนที่มีบรรยากาศสนุกสนาน วุ่นวาย และเต็มไปด้วยสีสัน ได้ทำการเผยแพร่แฟชั่นฮาราจูกุผ่านทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ Instagram ของเธอเป็นเหมือนกับระเบิดหลากสีสัน ทำให้เผลอยิ้มได้ทุกทีที่ดู เป็นแอคเคาท์ที่มอบแรงบันดาลใจให้กับผู้ชื่นชอบแฟชั่นและแฟนๆ Decora กว่า 370,000 คนทั่วโลก !

คุณ Christina ได้ลองสไตล์ที่หลากหลายมาตั้งแต่ปี 2014 จนได้พบแฟชั่น Decora ในระหว่างที่มาท่องเที่ยวญี่ปุ่นเมื่อปี 2018 เธอกล่าวว่า "ทันทีที่ได้ลอง Decora เป็นครั้งแรก ก็รู้สึกถึงความเป็นตัวเองอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน"

เหตุผลที่ทำให้เธอเลือก Decora คือ แฟชั่นซับคัลเจอร์นี้ช่วยมอบความอิสระที่สามารถตีความได้เอง เธออธิบายว่า "การสวมเสื้อผ้าหลายชั้นและสร้างไอเท็มออริจินัลนั้น เป็นกระบวนการที่ส่วนบุคคลมากๆ ทุกครั้งที่สร้างชุดแต่งกายก็จะเริ่มด้วยการนึกถึงธีมที่เจาะจง และค่อยๆ เพิ่มไอเท็มลงไปทีละชิ้นจนตกแต่งเสร็จสมบูรณ์ เป็นการเลือกชุดตามอารมณ์ของวันนั้นๆ ราวกับ Mood ring เลยทีเดียว"

Hang_Oroshi - ตีความวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่นใหม่ผ่านแฟชั่นยามาโตะยุคโมเดิร์น

สไตล์ของคุณ Arai มีรากฐานจากประวัติศาสตร์และเรื่องเล่าพื้นบ้านของญี่ปุ่น โดดเด่นด้วยการนำวัฒนธรรมยามาโตะมาตีความใหม่ในแบบโมเดิร์น แสดงออกโดยใช้วิธีที่แหวกแนว ในขณะเดียวก็แฝงไปด้วยความเคารพ ผ่านวัตถุโบราณของญี่ปุ่น เสื้อผ้าสไตล์ดั้งเดิม และความสวยงามของเครื่องประดับวินเทจ

เครื่องแต่งกายของคุณ Arai เน้นแสดงออกถึงเสน่ห์แบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ทุกชุดแฝงไปด้วยข้อความที่ชวนให้นึกถึงเสน่ห์แบบดั้งเดิมที่มักถูกลืมเลือนในชีวิตประจำวัน เธอกล่าวว่า "ฉันเผยแพร่วัฒนธรรมญี่ปุ่นก็เพราะว่าเป็นคนญี่ปุ่น แต่จริงๆ แล้วก็อยากให้ผลงานของฉันช่วยให้คนทั่วโลกค้นพบความสวยงามของวัฒนธรรมดั้งเดิมของประเทศตัวเอง และคอยปกป้องสิ่งเหล่านั้น"

สิ่งที่ทำให้เธอเลือกใส่สตอรี่ลงไปในแฟชั่นก็คือ การได้รู้จักตำนานของ Binbogami เทพญี่ปุ่นที่แสดงให้เห็นว่าความดีร้ายเป็นเหมือนกับเหรียญสองด้าน ตำนานนี้สร้างความประทับใจให้กับเธอมากๆ จนทำให้อยากเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่าที่มีเสน่ห์ดังกล่าว และสร้างสไตล์ในปัจจุบันขึ้นมา

Klook.com

คำตอบที่ 1 : วิธีตรงไปตรงมาที่แสดงความเป็นตัวเองอย่างเป็นอิสระ

แม้ว่าเบื้องหลังทางแฟชั่นของพวกเธอจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ก็มีความเห็นตรงกันว่าแฟชั่นฮาราจูกุเป็นประสบการณ์แฟชั่นที่มีอิสระ ไม่ใช่แค่การสวมเสื้อผ้าให้ถูกแบบหรือเลือกเครื่องประดับให้ถูกต้อง แต่เป็นการแสดงออกถึงความเป็นตัวเองอย่างตรงไปตรงมา

ในกรณีของคุณ Christina แฟชั่นฮาราจูกุเป็นเหมือนการใช้ตัวเองเป็นผ้าใบ และวาดสิ่งที่ชื่นชอบลงไปอย่างไม่มีขอบเขตหรือข้อจำกัด ดังที่เธอกล่าวไว้ว่า "สามารถแสดงออกถึงความเป็นตัวเอง โดยไม่ต้องอาศัยถ้อยคำใดๆ"

ส่วนคุณ Arai ก็มองว่าแฟชั่นฮาราจูกุเป็นแฟชั่นที่แสดงออกถึงความเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่และสมบูรณ์แบบ สามารถเลือกใส่อะไรก็ได้ตามความชอบ

จิตวิญญาณแบบแฟชั่นฮาราจูกุช่วยให้เธอสามารถนำแนวคิดญี่ปุ่นดั้งเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความสำคัญกับเธอมากเป็นพิเศษ มาผสมผสานลงในแฟชั่นปัจจุบันได้ ยกตัวอย่างเช่น แนวคิด Tsukumogami ที่เชื่อว่าเครื่องมือจะมีวิญญาณเป็นของตัวเองเมื่อถูกใช้งานอย่างยาวนาน

คุณ Arai กล่าวว่า "สำหรับเครื่องประดับนั้น ฉันได้เลือกมาจากร้านวัตถุโบราณทั่วญี่ปุ่นด้วยตัวเอง นอกจากดูที่รูปร่างหน้าตาแล้ว ยังเลือกซื้อเฉพาะชิ้นที่สัมผัสได้ว่ามีจิตวิญญาณอยู่ภายใน" ชิ้นงานมากมายที่เธอครอบครองอยู่มีสภาพที่ผ่านการใช้งานมาอย่างยาวนาน ดูเหมือนมีวิญญาณอยู่ภายในเลยจริงๆ

เวลาที่เธอทำการโชว์เครื่องแต่งกายที่ฮาราจูกุนั้น ก็จะรู้สึกตื่นเต้นราวกับได้เป็นหนึ่งเดียวกับ Tsukumogami ที่อยู่ภายในวัตถุโบราณเหล่านั้นเลยทีเดียว

คุณ minori กล่าวว่า "การแต่งหน้าขาวทำให้ใบหน้าของตัวเองเป็นเหมือนผ้าใบที่ว่างเปล่า และสามารถรังสรรค์ขึ้นใหม่ได้อย่างอิสระ เมื่อใส่สีและลวดลายลงไปตามธีมของชิ้นงาน ก็จะสามารถแสดงออกถึงความเป็นศิลปะที่ฉันตั้งเป้าหมายไว้ได้อย่างเต็มที่" เธอรักจุดเด่นข้อนี้ของแฟชั่นฮาราจูกุมากเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นการแสดงออกที่อิสระ ช่วยให้ครีเอเตอร์สามารถแสดงผลงานของตัวเอง ราวกับค่อยๆ สร้างผลงานศิลปะใหม่ๆ ชิ้นต่อชิ้น

คำตอบที่ 2 : ความเอาใส่ใจต่อคอมมิวนิตี้

แฟชั่นฮาราจูกุไม่ใช่แค่แฟชั่นที่เกิดขึ้นในฮาราจูกุ แต่เป็นสิ่งที่บอกเล่าถึงผู้คนที่รวมตัวอยู่ในบริเวณนี้ ดังที่คุณ Arai กล่าวว่า "เมื่ออยู่ในฮาราจูกุ จะใส่เสื้อผ้าฉูดฉาดแค่ไหนก็ไม่มีใครว่า" และอธิบายถึงความสำคัญของคอมมิวนิตี้ฮาราจูกุที่ช่วยสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์ที่มีชีวิตชีวาเหล่านี้

คุณ minori ได้บอกกับเราอย่างมั่นใจว่า "เหล่าครีเอเตอร์มารวมตัวกันที่ฮาราจูกุ และสนุกไปกับการสร้างแฟชั่นที่เป็นของตัวเอง การพัวพันของเอกลักษณ์ที่แตกต่างนี้เอง คือสิ่งที่ทำให้แฟชั่นฮาราจูกุมีบรรยากาศแบบในปัจจุบัน"

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

ความคิดสร้างสรรค์ของแฟชั่นฮาราจูกุ พลังที่ก้าวข้ามเส้นแบ่งประเทศ

ในไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ โซเชียลมีเดียได้ช่วยให้แฟชั่นฮาราจูกุเป็นที่รู้จักในระดับโลก แฟนชาวต่างชาติที่เดิมทีได้แต่มองดูอย่างห่างๆ ก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ทำให้แฟชั่นซับคัลเจอร์ของญี่ปุ่นมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถเพลิดเพลินแฟชั่นฮาราจูกุได้ ตามที่คุณ minori ได้ทิ้งท้ายกับเราว่า "ทุกคนควรได้สนุกไปกับการแต่งกายตามความชอบ ! นี่แหละคือสภาพที่ควรเป็นของแฟชั่น"

คุณ Christina ผู้เป็นครีเอเตอร์ Decora ระดับนานาชาติ ก็ได้กล่าวไว้ว่า "การแชร์เครื่องแต่งกายของตัวเองผ่านโซเชียลมีเดียช่วยให้ผู้คนได้พบกับเพื่อนๆ ที่มีรสนิยมเดียวกัน ทั้งยังช่วยให้เกิดอีเวนต์อย่าง Deora Day ที่เริ่มขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อน และ Lolita Day ที่จัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง รวมถึงแฟชั่นโชว์ งานน้ำชา และเวทีถกเถียงสนทนาตามงานอนิเมะ เป็นสถานที่แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมฮาราจูกุของผู้คนมากมาย ทั่วโลกมีคอมมิวนิตี้และไอคอนของแฟชั่นฮาราจูกุมากมาย กล่าวได้ว่าเป็นวัฒนธรรมที่สามารถเพลิดเพลินได้จากทุกมุมโลก"

คุณ Arai, คุณ minori, คุณ Christina, และศิลปินฮาราจูกุท่านอื่นๆ ก็ได้ลงเรี่ยวแรงในการทำให้แฟชั่นฮาราจูกุเป็นสิ่งใกล้ตัวเช่นกัน

ยกตัวอย่างเช่น คุณ Arai เป็นผู้ที่ชื่นชอบแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมที่มีอยู่แล้วของญี่ปุ่น และสังเกตเห็นว่าแบรนด์เหล่านี้มักประสบปัญหาในการถ่ายทอดความออริจินัลของตัวเอง โดยกล่าวไว้ว่า "ได้ตัดสินใจเริ่มธุรกิจขึ้นก็เพราะอยากสนับสนุนให้พวกเขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น และช่วยให้สามารถถ่ายทอดเสน่ห์แบบญี่ปุ่นดั้งเดิมได้"

อีกด้านหนึ่ง ในระหว่างที่คุณ Christina ได้เลือกซื้อของจากร้านเสื้อผ้ามือสองและแบรนด์อินดี้ ก็ตระหนักถึงว่าเครื่องประดับและเสื้อผ้าสีสดๆ ที่ไม่ใช่สำหรับเด็กนั้นเป็นสิ่งที่หายากมาก ทำให้เธอก่อตั้งแบรนด์แฟชั่นของตัวเองที่ชื่อว่า CANDY☆TRAP พร้อมกับใช้โซเชียลมีเดียเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรม Decora ให้เป็นที่รู้จักทั่วโลก

Klook.com

แฟชั่นฮาราจูกุ - อนาคตและความหวัง

แม้ว่าแฟชั่นฮาราจูกุจะดูเป็นที่คุ้นเคยในสายตาคนทั่วไปมากกว่าในอดีต แต่คุณ minori และคุณ Arai ก็บอกกับเราว่า เหตุการณ์โรดระบาดได้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อร้านแฟชั่นที่มีเอกลักษณ์มากมายในฮาราจูกุ

"ปัจจุบันนี้ที่ฮาราจูกุก็ยังมีผู้คนมากมายที่แต่งกายในแฟชั่นที่ตัวเองชื่นชอบ สามารถสัมผัสถึงคอมมิวนิตี้ที่ยอมรับเรื่องเหล่านี้ ในความหมายหนึ่งจิตวิญญาณฮาราจูกุจึงไม่แตกต่างไปจากอดีต อย่างไรก็ตาม ร้านจากบริษัทใหญ่ๆ ก็มีจำนวนมากขึ้น ในขณะที่ร้านที่มีเอกลักษณ์กลับมีจำนวนน้อยลง แบรนด์สายฮาราจูกุได้พากันไปเปิดบริการแบบออนไลน์และใช้บริการเว็บไซต์ขนส่งออนไลน์ อีกด้านหนึ่ง ความเปลี่ยนแปลงนี้ก็ช่วยให้แฟชั่นฮาราจูกุเผยแพร่ไปทั่วญี่ปุ่นและต่างประเทศได้ง่ายขึ้น"

ในขณะเดียวกัน คุณ Arai ก็อยากให้ผู้คนมากมายได้สัมผัสกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นโดยตรง โดยเดินทางมาที่ญี่ปุ่นและเลือกซื้อสินค้าที่ร้านหรือตลาดวัตถุโบราณ ตามที่เธอได้กล่าวว่า "โซเชียลมีเดียมักทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนระหว่างของจริงกับภาพถ่าย"

ทั้ง 3 ท่านมั่นใจว่าฮาราจูกุจะให้กำเนิดแฟชั่นใหม่ๆ และพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง คุณ Christina ได้บอกกับเราอย่างมั่นใจว่า "ตราบเท่าที่มีผู้ที่รักในบรรยากาศแฟชั่นแบบฮาราจูกุ ฮาราจูกุก็จะไม่มีทางหายไปอย่างแน่นอน"

คุณ minori ก็มีความเห็นเช่นเเดียวกัน เธอเชื่อว่าพลังของแฟชั่นฮาราจูกุจะช่วยพลักดันความคิดสร้างสรรค์ของผู้คนอย่างต่อเนื่อง โดยกล่าวว่า "ญี่ปุ่นมีวลีว่า "ตะปูที่โผล่มาจะถูกทุบ" แต่ฉันก็เชื่อว่าแฟชั่นฮาราจูกุจะกลายเป็นสิ่งที่โดดเด่นถึงขนาดที่สามารถผงาดขึ้นมาได้อีกครั้ง" เป็นแก่นแท้ของจิตวิญญาณแฟชั่นฮาราจูกุที่มีมาแต่อดีต และจะมีอยู่ไปอย่างต่อเนื่อง !

มนต์เสน่ห์คันโต

เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่

รับส่วนลดมากมายในญี่ปุ่น ที่นี่!

เกี่ยวกับนักเขียน

Stefania
Stefania Sabia
เกิดและโตในอิตาลี ช่วง 10 ขวบได้ใช้ชีวิตอยู่ในไอร์แลนด์ ปัจจุบันอาศัยอยู่ในโตเกียว ชอบการสำรวจสถานที่ลับๆ หรือสถานที่ที่มีความเป็นญี่ปุ่น รวมถึงสิ่งที่สัมผัสได้ถึงความงามแบบย้อนยุค เนื่องจากชอบวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาตั้งแต่วัยเด็ก หลังจากย้ายมาอยู่ญี่ปุ่นจึงออกสำรวจญี่ปุ่น และตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเผยแพร่ความสวยงามเหล่านั้นผ่านทางอินสตาแกรม
  • แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

ค้นหาร้านอาหาร