กางแพลนเที่ยวชิสึโอกะ 3 วัน - ชมวิวฟูจิ พักฟาร์มสเตย์เก็บใบชา และแช่ออนเซ็นสุดฟิน

บทความนี้พาคุณไปสำรวจเสน่ห์ของจังหวัดชิสึโอกะ ที่ผสมผสานความงดงามทางธรรมชาติ ความลึกซึ้งทางวัฒนธรรม และรสชาติของอาหารท้องถิ่นไว้อย่างลงตัว ชิสึโอกะขึ้นชื่อเรื่องออนเซ็นแสนผ่อนคลาย วิวภูเขาไฟฟูจิที่สวยตระการตา พ่วงด้วยตำแหน่งแหล่งปลูกชาที่สำคัญที่สุดของญี่ปุ่น แผนเที่ยว 3 วันในจังหวัดชิสึโอกะนี้ จะพาคุณเดินทางผ่านวิวภูมิทัศน์อันหลากหลาย ตั้งแต่อะตามิ อิสุ ไปจนถึงเชิงเขาฟูจิ พาคุณซึมซับความงามของชายฝั่ง เรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านแหล่งท่องเที่ยวโบราณ แวะเข้าพักโฮมสเตย์แสนสงบ และดื่มด่ำวัฒนธรรมการดื่มชา ชวนให้คุณได้สัมผัสญี่ปุ่นในมุมที่ลึกซึ้งและโดดเด่นไม่เหมือนใคร

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

บทความนี้อาจมีลิงก์พาร์ทเนอร์ หากคุณทำการซื้อผ่านลิงก์พาร์ทเนอร์ เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ

วันที่ 1: สัมผัสเสน่ห์เมืองริมทะเล "อะตามิ" – เมืองน้ำพุร้อนและแหล่งรวมวัฒนธรรมที่เที่ยวได้ทั้งปี

การเดินทาง: เมืองอะตามิถือเป็นจุดท่องเที่ยวที่สามารถเดินทางด้วยรถไฟได้อย่างง่ายดาย ทั้งจากโตเกียวและโอซาก้า โดยสามารถนั่งรถไฟชินคันเซ็นสายโทไคโดมายังสถานีอะตามิได้ทั้งคู่ หากเดินทางจากโตเกียว จะใช้เวลาประมาณ 35 นาทีสำหรับขบวน Hikari และประมาณ 50 นาทีสำหรับขบวน Kodama ในขณะที่การเดินทางจากโอซาก้า จะใช้เวลาประมาณ 135 นาทีสำหรับขบวน Hikari และ 190 นาทีสำหรับขบวน Kodama เมื่อมาถึงเมืองอะตามิแล้ว สามารถเดินทางภายในเมืองต่อด้วยรถบัสหรือแท็กซี่

เมืองอะตามิตั้งอยู่บริเวณฐานของคาบสมุทรอิสุ ทางตะวันออกของจังหวัดชิสึโอกะ ที่นี่เป็นเมืองตากอากาศที่มีชื่อเสียงเรื่องออนเซ็นมาตั้งแต่สมัยโบราณ ถึงขั้นว่าได้รับการกล่าวถึงใน "อิสุฟุโดกิ" บันทึกเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยปี ค.ศ. 713 โดยเมืองนี้มีภูมิอากาศอบอุ่นตลอดปี และมีทัศนียภาพริมทะเลงดงาม พื้นที่ในบริเวณตัวเมืองแบ่งออกเป็น 6 ส่วน โดยบริเวณใจกลางเมืองที่รู้จักกันในชื่อ “อะตามิออนเซ็น” นั้น มีแหล่งน้ำพุร้อนมากกว่า 500 แห่ง นับได้ว่าเป็นแหล่งออนเซ็นสำคัญในภูมิภาคคันโต ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวลงแช่น้ำร้อนพร้อมชมวิวอ่าวซางามิที่สวยจับใจ นับเป็นประสบการณ์แช่ออนเซ็นอันดับต้นๆ ของประเทศเลยทีเดียว

ตลอดทั้งปีเมืองอะตามิมีกิจกรรมและเทศกาลมากมาย โดยเฉพาะเทศกาลดอกไม้ไฟอะตามิ ที่จัดขึ้นเป็นประจำหลายครั้งในหนึ่งปี ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลกันมาสัมผัสความงามยามค่ำคืนของอะตามิ พร้อมชมโชว์ดอกไม้ไฟสุดตระการตา

ในช่วงฤดูหนาว (ปลายเดือนมกราคมถึงกลางกุมภาพันธ์) ดอกซากุระพันธุ์อะตามิ จะผลิดอกเบ่งบานก่อนใคร ออกดอกสวยตลอดสองฝั่งทางเดินริมน้ำ Itogawa ที่อยู่ห่างจากสถานีอะตามิเพียง 15 นาที ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ราวกับฤดูใบไม้ผลิได้มาเยือนกลางฤดูหนาว

สวนบ๊วยอะตามิ ก็เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญในช่วงฤดูหนาว-ต้นใบไม้ผลิ โดยเฉพาะในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคม สวนแห่งนี้อยู่ห่างจากสถานี JR Kinomiya เพียง 10 นาที ที่นี่มีต้นบ๊วยรวมเกือบ 500 ต้น จากกว่า 60 สายพันธุ์ และเป็นหนึ่งในสถานที่ชมดอกบ๊วยที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น และเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง สวนนี้ก็จะเปลี่ยนเป็นสถานที่จัดเทศกาลใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามไม่แพ้กัน

นอกจากความงดงามทางธรรมชาติแล้ว อะตามิยังเป็นศูนย์รวมของศิลปวัฒนธรรมแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมอีกด้วย นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาชม “HANANOMAI” หรือ การแสดงเกอิชาแห่งอะตามิ ที่เวที Atami Geigi Kenban Kaburenjo (ใช้เวลาเดินจากสถานีอะตามิประมาณ 18 นาที) ได้ทุกวันเสาร์และอาทิตย์ เวลา 11:00 น.การแสดงดังกล่าวเป็นการโชว์ดนตรีสามสายและระบำโบราณสุดประณีต โดยกลุ่มศิลปินเกอิชาที่สืบทอดศิลปะคลาสสิกญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน ทั้งดนตรีชามิเซ็นและการเต้นรำแบบดั้งเดิมที่สง่างาม นับเป็นประสบการณ์ทางวัฒนธรรมอันประณีตของอะตามิที่หาชมได้ยากและควรค่าแก่การรับชมอย่างยิ่ง

Atami Ropeway และจุดชมวิว Aijo Misaki - นั่งกระเช้าชมวิวเมืองทะเลจากมุมสูง

การเดินทาง: 

รถยนต์: ใช้เวลาขับรถประมาณ 10 นาทีจากสถานี Atami

ขนส่งสาธารณะ: จากสถานี Atami ไปยังจุดขึ้นกระเช้า ให้นั่งรถบัส Tokai สาย A71 ไปลงที่ป้าย Atami Korakuen (ใช้เวลาประมาณ 12 นาที) ส่วนชุดชมวิว Aijo Misaki อยู่ห่างจากจุดลงกระเช้าด้านบนเพียงประมาณ 1 นาทีเดิน

กระเช้า Atami Ropeway จะพาคุณเดินทางจากบริเวณท่าเรืออะตามิขึ้นสู่ยอดเขาฮาจิมังภายในเวลาเพียง 3 นาที แม้จะเป็นระยะทางสั้น ๆ แต่รับรองได้เลยว่าวิวสวยน่าจดจำตลอดการเดินทาง

เมื่อขึ้นมาถึงด้านบน คุณจะพบกับ จุดชมวิว Aijo Misaki และ Umisora Terrace ซึ่งเป็นระเบียงชมวิวที่สามารถมองเห็นเมืองอะตามิได้ทั่วทั้งเมือง รวมถึงวิวทะเลที่สวยงามเสมือนเส้นขอบฟ้าบรรจบกับผืนน้ำ จุดชมวิวนี้ตั้งอยู่บนปลายแหลมของเนินเขา และมีสองระดับให้เลือก ได้แก่ ชั้นบน ที่ออกแบบด้วยดีไซน์ไม้สีอบอุ่น พร้อมที่นั่งสะดวกสบาย เหมาะแก่การพักผ่อนพลางชมวิวมุมกว้าง และชั้นล่าง ซึ่งเป็นระเบียงกลางแจ้งอยู่บนหน้าผาสูง สามารถมองเห็นทะเลโดยไม่มีอะไรมาบดบังสายตา

ถัดจากจุดชมวิวมีพื้นที่สำหรับแขวนแผ่นไม้ "เอมะ" (แผ่นขอพรแบบญี่ปุ่น) ทำให้ที่นี่เป็นจุดยอดฮิตในหมู่คู่รักที่มาขอพรให้สมหวังในความรัก ใกล้ ๆ กันนั้นมีร้าน Umisora Café ที่ให้บริการเครื่องดื่มหลากหลายชนิดและไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟ เหมาะกับการนั่งเพลิน ๆ ชมวิวพร้อมของหวานสุดฟิน

ปราสาทอะตามิ (Atami Castle) – จุดชมวิวพาโนรามา 360 องศา ชมเมืองและวิวทะเลสุดตระการตา

การเดินทาง: เดินเท้าประมาณ 12 นาทีจากจุดชมวิว Aijo Misaki และระเบียง Umisora Terrace

ด้วยระเบียงชมวิวที่สูงถึง 160 เมตรจากระดับน้ำทะเล คุณสามารถสัมผัสมุมมองชมวิวแบบ 360 องศาได้ที่ปราสาทอะตามิ ที่สามารถชมทั้งเมืองอะตามิและทะเลโดยรอบได้อย่างเต็มตา สามารถมองเห็นได้ไกลถึงเมืองยูงาวาระ คาบสมุทรมานาซุรุ และในวันที่อากาศดี ยังสามารถมองเห็นเกาะลอยน้ำฮัตสึชิมะและโอชิมะ รวมถึงพื้นที่อาจิโระและอิโตะในคาบสมุทรอิสุได้อีกด้วย

ในฤดูใบไม้ผลิ ต้นซากุระจะโดยรอบปราสาทจะออกดอกบานสะพรั่ง กลายเป็นทิวทัศน์ที่ตัดกันงดงามระหว่างทะเลดอกไม้สีชมพูกับมหาสมุทรสีฟ้าเข้ม นอกจากนี้ ปราสาทแห่งนี้ยังเป็นหนึ่งในจุดชมเทศกาลดอกไม้ไฟอะตามิ ที่ดีที่สุด ด้วยมุมสูงที่สามารถมองเห็นการแสดงพลุสว่างไสวเหนือท้องฟ้ายามค่ำคืนได้อย่างตื่นตาตื่นใจตลอดทั้งปี

ภายในปราสาทยังมีบ่อแช่เท้า Jet Footbath ที่ตั้งอยู่สูงถึง 120 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ให้นักท่องเที่ยวได้ผ่อนคลายในน้ำอุ่นพร้อมชมวิวอ่าวซางามิที่กว้างไกล ถึงแม้ปราสาทนี้จะไม่ได้เป็นป้อมปราการโบราณของจริง (สร้างขึ้นในปี 1959) แต่ด้วยทำเลชมวิวที่พิเศษและสิ่งอำนวยความสะดวกที่หลากหลาย ทำให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กสำคัญที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนอะตามิ

Kiunkaku วิลล่าที่ผสมผสานประวัติศาสตร์ความเป็นญี่ปุ่นและตะวันตกไว้อย่างลงตัว

การเดินทาง: หลังจากนั่งกระเช้า Atami Ropeway กลับลงมาที่จุดขึ้นกระเช้าแล้ว ให้เดินเท้าต่อประมาณ 14 นาทีไปยังวิลล่า Kiunkaku

วิลล่า Kiunkaku สร้างขึ้นในปี 1919 และเป็นหนึ่งใน “สามวิลล่าชื่อดังแห่งเมืองอะตามิ” ต่อมาในปี 1947 ได้ถูกดัดแปลงเป็นเรียวกัง และเคยได้ต้อนรับนักเขียนชื่อดังของญี่ปุ่นมากหน้าหลายตา ปัจจุบันวิลล่าแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของเมืองอะตามิ และเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมได้

วิลล่าแห่งนี้โดดเด่นด้วยการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นและตะวันตก มีสวนหย่อมที่ร่มรื่นสร้างบรรยากาศสงบและสง่างาม ตัวอาคารแบบญี่ปุ่นยังคงรักษางานฝีมือดั้งเดิมไว้ได้อย่างประณีต ขณะที่อาคารแบบตะวันตกมีการตกแต่งด้วยวัฒนธรรมทั้งจากญี่ปุ่น จีน และยุโรป ทำให้ที่นี่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ภายในยังมีห้องอาบน้ำสไตล์โรมันสุดหรู และห้อง Sun Room ที่ประดับด้วยกระจกใส สะท้อนความหรูหราของยุคไทโช (1912–1926) และโชวะ (1926–1989) ได้อย่างชัดเจน วิลล่า Kiunkaku จึงถือเป็นสมบัติล้ำค่าทางวัฒนธรรม ที่เปิดโอกาสให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสทั้งความงามของประวัติศาสตร์และศิลปะสถาปัตยกรรมอย่างแท้จริง

Irori Teahouse - ลิ้มรสอาหารพื้นเมืองที่เสิร์ฟความสดจากคาบสมุทรอิสุและรสชาติญี่ปุ่นดั้งเดิม

การเดินทาง:

รถยนต์: ขับรถจากวิลล่า Kiunkaku ใช้เวลาประมาณ 7 นาที

ขนส่งสาธารณะ: นั่งรถบัส Tokai สาย A47, A48, A64 หรือ A68 จากป้าย Tenjinmachi ไปลงที่ป้าย Fujisawairiguchi (ใช้เวลาประมาณ 7 นาที) แล้วเดินต่ออีกประมาณ 1 นาที

Irori Teahouse เป็นร้านอาหารสไตล์ดั้งเดิมที่เหมาะสำหรับลิ้มรสอาหารทะเลสดใหม่จากคาบสมุทรอิสุ ไฮไลท์ของที่นี่อยู่ที่การย่างด้วยเตาถ่านแบบโบราณที่คงรสชาติญี่ปุ่นแท้ไว้อย่างเต็มเปี่ยม เมนูที่ไม่ควรพลาดคือเซ็ตอาหาร “Aji no Mago Cha Zen” ซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อของอิสุ ประกอบด้วยปลาทูม้า (Horse mackerel) สด ปลาแห้ง และข้าวหน้าทะเล โดยสามารถเลือกให้เสิร์ฟ ได้ 3 รูปแบบ ได้แก่ ทานแบบดั้งเดิม ราดน้ำชาอุ่นๆ สไตล์ข้าวต้มชา (Ochazuke) หรือจับคู่กับปลาย่างหอมๆ เพิ่มรสชาติให้ซับซ้อนยิ่งขึ้น

อีกเมนูแนะนำของที่นี่คือ “ชุดปลาตากแห้ง 3 ชนิดและซาชิมิ” ที่รวมความอร่อยของปลาตากแห้งกับปลาดิบสดใหม่ไว้ในจานเดียว เป็นการสัมผัสรสชาติแห่งทะเลของอิสุอย่างแท้จริง นอกจากนี้ทางร้านยังมีบริการเหล้าสาเกญี่ปุ่นชั้นดี คัดสรรมาอย่างดีเพื่อจับคู่กับอาหารทะเลสดใหม่อีกด้วย

ถนนช้อปปิ้ง Heiwa Dori และ Nakamise Dori - ย่านชอปปิ้งย้อนยุคในตัวเมืองอะตามิ

การเดินทาง: เดินจากร้านอาหาร Irori Teahouse ประมาณ 3 นาที

ถนน Heiwa Dori และถนน Nakamise Dori ตั้งอยู่ด้านหน้าสถานีอะตามิ เป็นแหล่งช้อปปิ้งที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แบบย้อนยุคอย่างในยุคโชวะ (1926–1989) ที่เต็มไปด้วยร้านค้าเก่าแก่ที่เปิดมานานหลายสิบปี ถนนสายนี้เป็นที่รวมของของฝาก อาหารพื้นถิ่น ขนมญี่ปุ่น และสินค้าทำมือมากมาย ช่วยให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสบรรยากาศของ “shotengai” หรือถนนการค้าสไตล์ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมอย่างแท้จริง

หนึ่งในขนมที่ห้ามพลาดในย่านนี้ได้แก่ "มันจูออนเซ็น (Onsen Manju)" โดยเฉพาะเมนูซิกเนเจอร์ของร้าน Sakurai Shoten ที่ทำจากน้ำตาลทรายแดงจากโอกินาวะ ถั่วแดงจากฮอกไกโด และน้ำตาลขาวคุณภาพดี เนื้อด้านนอกนุ่มกำลังดี หอมหวานกลมกล่อม เป็นที่ถูกใจทั้งสำหรับคนญี่ปุ่นและในหมู่นักท่องเที่ยว

อีกหนึ่งเมนูขนมที่พลาดไม่ได้ คือ "อะตามิพุดดิ้ง (Atami Pudding)" ที่ได้แรงบันดาลใจจากไอน้ำของออนเซ็นอะตามิ ใช้วิธีนึ่งด้วยอุณหภูมิต่ำอย่างพิถีพิถัน จึงได้เนื้อสัมผัสเนียนนุ่มละลายในปาก เสิร์ฟพร้อมซอสคาราเมลโฮมเมดรสเข้มข้น

Klook.com

New Hakkeien – ที่พักออนเซ็นพร้อมวิวภูเขาไฟฟูจิสุดอลังการ

การเดินทาง: 

รถยนต์: ขับจากสถานีอะตามิประมาณ 47 นาที

ขนส่งสาธารณะ: จากสถานี Atami นั่ง JR Tokaido Line ไปลงสถานี Mishima (ประมาณ 13 นาที) จากนั้นต่อรถไฟสาย Izuhakone Railway Sunzu Line ไปยังสถานี Izu Nagaoka (ประมาณ 22 นาที) แล้วนั่งรถบัส Izuhakone ไปยังป้าย Onseneki (ประมาณ 8 นาที) แล้วเดินอีก 6 นาที

โรงแรม New Hakkeien ตั้งอยู่ที่ Izu Nagaoka และมีไฮไลต์เป็นวิวภูเขาไฟฟูจิสุดตระการตา จุดเด่นที่สุดคือ ออนเซ็นกลางแจ้งบนจุดที่สูงที่สุดของที่พัก แขกของที่นี่สามารถแช่น้ำร้อนพร้อมชมวิวภูเขาฟูจิยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดาว หรือวิวยามเช้าที่สามารถมองเห็นยอดเขาได้อย่างชัดเจน

ห้องพักที่นี่มีหลากหลายแบบ ตั้งแต่ห้องสวีทพร้อมอ่างอาบน้ำส่วนตัว ไปจนถึงห้องญี่ปุ่นดั้งเดิม เหมาะสำหรับทั้งคู่รัก ครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อน โดยแทบทุกห้องพักสามารถชมวิวฟูจิจากหน้าต่างได้เต็ม ๆ สัมผัสความงามของธรรมชาติแบบเต็มอิ่ม

อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของที่นี่คือ ชุดอาหาร "ไคเซกิ" (kaiseki) ที่ใช้วัตถุดิบสดใหม่จากท่าเรือ Numazu และผักผลไม้ตามฤดูกาล

วันที่ 2: ชมฟูจิให้เต็มตา – สำรวจธรรมชาติและเสน่ห์แห่งคาบสมุทรอิสุ

สวน Izu Panorama Park – ชมวิวภูเขาไฟฟูจิจากมุมสูง สัมผัสธรรมชาติแบบรอบทิศ

การเดินทาง: เดินจากที่พัก New Hakkeien ไปยังสถานีกระเช้า Izu Panorama Park ประมาณ 7 นาที

สวน Izu Panorama ตั้งอยู่บนยอดเขาคัตสึรางิ เป็นสถานที่ที่ผสมผสานระหว่างธรรมชาติและสิ่งอำนวยความสะดวกไว้อย่างลงตัว นักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินกับวิวภูเขาไฟฟูจิ อ่าวสุรุกะ และภูเขาโดยรอบด้วยการนั่งกระเช้าลอยฟ้าชมวิวที่ใช้เวลาเพียง 7 นาที ครอบคลุมระยะทาง 1,800 เมตร มีปลายทางคือยอดเขาคัตสึรางิที่สูงกว่า 452 เมตร เป็นจุดชมวิวแบบพาโนรามา 360 องศา มองเห็นเมือง Izu Nagaoka และธรรมชาติอันกว้างไกล

จุดเด่นของสวนแห่งนี้คือระเบียงชมวิวสุดอลังการ "Ao Terrace" ที่ออกแบบให้เป็นจุดชมวิวกลางแจ้งสุดสะดวกสบาย มีทั้งโซฟานุ่ม ๆ โต๊ะนั่งพักผ่อน และระเบียงน้ำที่ดีไซน์ให้สะท้อนผืนฟ้าและภูเขาไฟฟูจิ พร้อมเครื่องดื่มพรีเมียมและขนมหวานจากร้าน Katsuragi Tea Cottage หรือกาแฟสดจาก Katsuragi Coffee

ถ้าอยากได้ความเป็นส่วนตัว ที่นี่ยังมีบริการห้องไพรเวท Private Gazebo ที่สามารถนั่งจิบชาและขนม พร้อมชมวิวภูเขาไฟฟูจิแบบเงียบสงบในบรรยากาศส่วนตัวได้อีกด้วย

สวน Izu Panorama มีความสวยงามเฉพาะตัวที่แตกต่างกันไปในแต่ละฤดูกาล อย่างสีสันของดอกอาซาเลีย (กุหลาบพันปี) ที่บานกว่า 35,000 ต้นในฤดูใบไม้ผลิ หรือพุ่มดอกไฮเดรนเยียที่บานสะพรั่งในฤดูร้อน เมื่อถึงคราวฤดูใบไม้ร่วง ทิวทัศน์ของใบไม้เปลี่ยนสีคอยสร้างบรรยากาศอบอุ่น ในขณะที่ดอกบ๊วยและดอกนาโนะฮานะ (เรพซีด) เติมชีวิตชีวาให้ภูเขาแห่งนี้ในฤดูหนาว 

สวนแห่งนี้เปิดทำการตลอดทั้งปี แวะมาดื่มด่ำธรรมชาติและบรรยากาศอันผ่อนคลายได้ตลอดทั้งปี

Suminobo – ลิ้มลองปลาไหลย่างเลื่องชื่อแห่งเมืองมิชิมะ

การเดินทาง:

รถยนต์: ขับรถจาก Izu Panorama ใช้เวลาประมาณ 22 นาที

ขนส่งสาธารณะ: เดินประมาณ 5 นาทีไปยังป้าย Onsenba-Nishi แล้วนั่งรถบัส Izuhakone ไปยังสถานี Izu-Nagaoka (ประมาณ 15 นาที) จากนั้นต่อรถไฟ JR ไปยังสถานี Mishima (ประมาณ 13 นาที) แล้วเดินต่ออีก 15 นาที

เมืองมิชิมะขึ้นชื่อเรื่อง ปลาไหลย่าง (Unagi) ซึ่งร้าน Suminobo นับเป็นจุดหมายที่พลาดไม่ได้สำหรับสายกิน
ที่นี่ตั้งอยู่ห่างจากสถานี Mishima เพียง 15 นาที และยังสามารถแวะไหว้ศาลเจ้า Mishima Taisha ระหว่างทางได้อีกด้วย

ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องการใช้น้ำแร่บริสุทธิ์จากภูเขาไฟฟูจิในการเลี้ยงและปรุงรสปลาไหล ส่งผลให้เนื้อปลามีความแน่นและนุ่มเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังมีกรรมวิธีการย่างปลาไหลด้วยเตาถ่าน พร้อมราดซอสสูตรลับซับซ้อนที่สืบทอดมาหลายรุ่น ทำให้ได้รสชาติแบบ “คาบายากิ” ที่ด้านนอกกรอบหอม ส่วนเนื้อด้านในนุ่มชุ่มลิ้น แสดงถึงฝีมืออันประณีตของเชฟได้เป็นอย่างดี

Mishima Skywalk – สะพานแขวนเดินเท้าที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่น พร้อมวิวภูเขาไฟฟูจิสุดอลังการ

การเดินทาง:

รถยนต์: ขับรถจากร้าน Suminobo ใช้เวลาประมาณ 15 นาที

ขนส่งสาธารณะ: เดินประมาณ 1 นาทีไปยังป้าย Mishima Taisha-Mae แล้วนั่งรถบัส Tokai สาย N65 ไปยังป้าย Mishima Skywalk (ประมาณ 21 นาที)

Mishima Skywalk เป็นสะพานแขวนสำหรับคนเดินที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่น โดยมีความยาวถึง 400 เมตร ทอดยาวข้ามผ่านภูมิประเทศทางธรรมชาติที่งดงาม หากมองจากบนสะพานจะสามารถมองเห็นวิวพาโนรามาของภูเขาไฟฟูจิ อ่าวสุรุกะสีฟ้าเข้ม และเทือกเขาแห่งอิสุและฮาโกเนะอันกว้างใหญ่ ตัวสะพานสูงจากพื้นถึง 70 เมตร การเดินข้ามสะพานจึงทั้งเต็มเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศสดชื่นด้วยลมธรรมชาติ และความรู้สึกน่าตื่นเต้นเสมือนกำลังลอยตัวอยู่

นอกเหนือจากวิวสุดอลังการแล้ว สะพานแขวนแห่งนี้ยังมีกิจกรรมกลางแจ้งมากมายให้บริการ เช่น กิจกรรมผจญภัยในป่า เครื่องเล่นโรยตัวจากหอคอย Sky Tower ขี่เครื่องเซกเวย์ (ยานพาหนะแบบสองล้อ) สำรวจเส้นทาง ไปจนถึงกิจกรรมขับรถ ATV สี่ล้อแบบออฟโรดสุดมันส์ 

ในบริเวณ South Area นักท่องเที่ยวสามารถแวะร้าน Sky Garden ร้านของฝากที่รายล้อมด้วยดอกไม้สีสันสดใส ขายสินค้าพิเศษเฉพาะของ Skywalk และขนมจากท้องถิ่นอิสุ เหมาะกับการนั่งพักผ่อนจิบชาเบา ๆ เป็นที่สุด

MUKUtensha Fujinomiya – ที่พักเงียบสงบ ณ ตีนภูเขาไฟฟูจิ สำหรับนักท่องเที่ยวผู้รักความเป็นส่วนตัว

การเดินทาง:

รถยนต์: ขับรถจาก Mishima Skywalk ใช้เวลาประมาณ 50 นาที

ขนส่งสาธารณะ: นั่งรถบัส Tokai ไปสถานี Mishima (ประมาณ 34 นาที) แล้วต่อ JR Tokaido Line ไปสถานี Fuji (ประมาณ 26 นาที) จากนั้นต่อ JR Minobu Line ไปสถานี Nishi-Fujinomiya (ประมาณ 22 นาที) แล้วเดินต่ออีกประมาณ 9 นาที

โรงแรม MUKUtensha Fujinomiya เป็นที่พักแบบ private retreat ในเมืองฟูจิโนะมิยะ จังหวัดชิสึโอกะ ตั้งอยู่ระหว่างศาลเจ้าฟูจิซัง ฮงงู เซ็นเก็นไทฉะ (Fujisan Hongu Sengen Taisha) และศูนย์มรดกโลกภูเขาไฟฟูจิแห่งชิสึโอกะ (พิพิธภัณฑ์สำหรับเรียนรู้เกี่ยวกับภูเขาไฟฟูจิ) ผู้เข้าพักสามารถดื่มด่ำกับความงดงามของภูเขาไฟฟูจิ และเพลิดเพลินกับการออกแบบที่ผสมผสานดีไซน์แบบดั้งเดิมและความทันสมัยได้อย่างลงตัว

ที่พักแห่งนี้ให้บริการแบบ “วันละกลุ่ม” เท่านั้น เพื่อรับรองความเป็นส่วนตัวและประสบการณ์สุดพรีเมียม ภายในห้องพักตกแต่งด้วยไม้หายากของญี่ปุ่นหลากชนิด ไม่ว่าจะเป็นไซเปรสฟูจิ ไม้ยาคุสุกิ (สนซีดาร์จากเกาะยาคุ) ไม้เอล์ม และไม้เซลโควา ทุกองค์ประกอบถูกออกแบบจัดวางอย่างประณีตเพื่อสะท้อนฝีมือของช่างไม้ญี่ปุ่นผู้ชำนาญ พร้อมด้วยดีไซน์แบบมินิมอลที่ช่วยให้ผู้เข้าพักรู้สึกสงบ ผ่อนคลาย และเชื่อมโยงกับธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ห้องพักทุกห้องมีอ่างอาบน้ำไม้ไซเปรส “ฮิโนกิ” ที่ปลูกในชิสึโอกะ และมีซาวน่าส่วนตัวให้ด้วย ตบท้ายด้วยเมนูอาหารค่ำประจำวันที่ประกอบด้วยวัตถุดิบท้องถิ่นตามฤดูกาลและสาเกท้องถิ่นชั้นดี

วันที่ 3: ฟาร์มสเตย์กลางชนบทญี่ปุ่น – เก็บชา เที่ยวชมน้ำตก ชีวิตสโลว์ไลฟ์แบบขั้นสุด

น้ำตก Shiraito - ทิวทัศน์เหมือนฝันที่ตีนภูเขาไฟฟูจิ

การเดินทาง:

รถยนต์: ขับรถจากที่พัก MtFuji Retreat MUKUtensha Fujinomiya ใช้เวลาประมาณ 23 นาที

ขนส่งสาธารณะ: เดินประมาณ 3 นาทีจากที่พักไปยังป้าย Sengen Taisha Bus จากนั้นนั่งรถบัส Fujikyu-Shizuoka ไปลงที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว Shiraito Falls Sightseeing Information Center (ใช้เวลาประมาณ 27 นาที)

น้ำตก Shiraito ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของภูเขาไฟฟูจิ เป็นหนึ่งในแหล่งธรรมชาติที่งดงามที่สุดของญี่ปุ่น และยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกภายใต้ชื่อ “ภูเขาไฟฟูจิ: สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์และแหล่งแรงบันดาลใจทางศิลปะ” โดยน้ำตกแห่งนี้มีความสูงประมาณ 20 เมตร และทอดตัวเป็นแนวกว้างถึง 150 เมตร ภาพของละอองน้ำที่ไหลตกลงมาจากหน้าผามีลักษณะคล้ายเส้นไหมสีขาว ให้ความรู้สึกอ่อนละมุน ราวกับละอองน้ำกำลังร่ายรำอย่างนุ่มนวลในอากาศ

สายน้ำของที่นี่มีต้นทางมาจากธารน้ำแข็งที่ละลายจากภูเขาไฟฟูจิ ไหลซึมผ่านชั้นหินภูเขาไฟที่ซับซ้อน ก่อนจะไหลออกมาจากผาหินในรูปแบบที่ไม่เหมือนที่ไหนในโลก เกิดเป็นทิวทัศน์ธรรมชาติที่งดงามราวกับฉากในเทพนิยาย หากคุณมายืนใกล้ ๆตัวน้ำตก จะรู้สึกได้ถึงละอองหมอกที่โอบล้อมจากสามทิศทางราวกับม่านโค้งที่ลอยอยู่ในอากาศ เสมือนกำลังยืนอยู่ในโลกแฟนตาซีที่ถูกสรรค์สร้างจากละอองน้ำ

Tabinoya – ฟาร์มสเตย์กับประสบการณ์เก็บชาในชิสึโอกะ

การเดินทาง:

รถยนต์: ใช้เวลาขับรถประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาทีจากน้ำตก Shiraito

ขนส่งสาธารณะ: นั่งรถบัส Fujikyu-Shizuoka ไปยังสถานี Fujinomiya (ประมาณ 30 นาที) จากนั้นต่อ JR Minobu Line ไปยังสถานี Fuji (ประมาณ 19 นาที) แล้วเปลี่ยนเป็น JR Tokaido Line ไปยังสถานี Kakegawa (ประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที) หากเป็นแขกที่เข้าพัก Tabinoya มีบริการรับส่งจากสถานี Kakegawa โดยต้องแจ้งล่วงหน้า หรือสามารถนั่งแท็กซี่ประมาณ 20 นาทีจากสถานี Kakegawa ก็ได้เช่นกัน

จังหวัดชิสึโอกะถือเป็นแหล่งผลิตชาชั้นนำของญี่ปุ่น นับเป็น 40% ของพื้นที่ปลูกชาทั่วประเทศ และเป็นที่รู้จักในด้านแหล่งผลิตชาคุณภาพในปริมาณที่สม่ำเสมอ ดังนั้นวิถีชีวิตที่เชื่อมโยงกับชาของผู้คนท้องถิ่นนั้นจึงฝังรากลึกในวัฒนธรรมของภูมิภาคแห่งนี้มาแต่โบราณ โดยมีประวัติการปลูกชาย้อนกลับไปถึงยุคคามาคุระ (ค.ศ. 1185–1333)

โฮมสเตย์ Tabinoya ("บ้านแห่งการเดินทาง") ตั้งอยู่ใกล้กับ Nissaka-shuku ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานีพักแรมเก่าแก่ 53 แห่งบนเส้นทาง Tokaido โบราณ ที่นี่ล้อมรอบด้วยไร่ชาเขียวขจีและทิวทัศน์ชนบทที่เงียบสงบ บ้านพักหลังนี้เคยเป็นบ้านของชาวไร่ชาเก่า และได้รับการปรับปรุงให้กลายเป็นที่พักที่ผสมผสานความทรงจำในอดีตเข้ากับความสบายแบบร่วมสมัยได้อย่างลงตัว สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นเป็นกันเอง ให้ความรู้สึกเหมือนแวะพักบ้านของคนท้องที่มากกว่าเข้าพักที่โรงแรมธรรมดา

โดยที่พักแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่พักผ่อน แต่เป็นประตูสู่ประสบการณ์วิถีชีวิตชนบทอย่างแท้จริง ด้วยนโยบายรับแขกเพียงวันละกลุ่มเดียว Tabinoya จึงสามารถมอบความสงบและความเป็นส่วนตัวให้ผู้เข้าพักได้ดื่มด่ำกับช่วงเวลาอันเงียบสงบได้อย่างเต็มที่

โฮมสเตย์แห่งนี้ได้คัดสรร "กิจกรรมที่เชื่อมโยงกับชาญี่ปุ่น" มานำเสนอแก่ผู้เข้าพัก และพาไปสัมผัสวัฒนธรรมชาของชิสึโอกะได้อย่างลึกซึ้ง ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง แขกสามารถเข้าร่วมกิจกรรมเก็บใบชาได้ด้วยตนเอง ส่วนในฤดูหนาวจะได้ชมวิธีการทำเกษตรแบบ “chagusaba” ซึ่งได้รับการยอมรับให้เป็นมรดกภูมิปัญญาโลกโดย UNESCO โดยวิธีนี้คือการปลูกหญ้าแซมระหว่างแถวชา แล้วนำไปใช้คลุมดินเพื่อเสริมคุณภาพดิน ป้องกันวัชพืช และรักษาความชื้น ถือเป็นวิธีเกษตรแบบยั่งยืนที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้กับใบชาอย่างเป็นธรรมชาติอีกด้วย

หากคุณชอบชมทิวทัศน์ธรรมชาติที่พิเศษแบบหาที่ไหนไม่ได้ เจ้าของที่พักมีไฮไลท์สำคัญคือจุดชมวิวลับที่สามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ในมุมส่วนตัว และนอกจากกิจกรรมเกี่ยวกับชาแล้ว ที่นี่ยังมีกิจกรรมตามฤดูกาลต่างๆ เช่น การเก็บผักป่าหรือหน่อไม้ในฤดูใบไม้ผลิ หรือการเดินป่าผจญภัยไปยังแอ่งน้ำตกในฤดูร้อน

ท้ายที่สุดแล้ว อาหารยังถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญของ Tabinoya โดยที่นี่จะเสิร์ฟอาหารตามฤดูกาลที่สอดแทรกกลิ่นอายของผลผลิตชาเข้าไปในทุกเมนู ไม่ว่าจะเป็น ใบชาทอดกรอบ สลัดใบชา หรือหม้อไฟชาบู"ชา" ที่ใส่รสชาติชาในท้องถิ่นเข้าไปอย่างพิถีพิถัน มื้อเช้าในวันถัดไปนั้นก็อบอุ่นไม่แพ้กัน ด้วยเมนูข้าวต้มชา “chazuke” ที่เสิร์ฟพร้อมปลาตากแห้งจากเมืองท่าใกล้เคียง ถือเป็นการปิดท้ายประสบการณ์ในแบบชาวไร่ที่เปี่ยมไปด้วยมิติอันลึกซึ้งของวัฒนธรรมชา และความอบอุ่นเป็นกันเองของคนในท้องที่ที่น่าจดจำ

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

ปิดท้ายทริป 3 วันในจังหวัดชิสึโอกะ เต็มเปี่ยมด้วยวัฒนธรรมชา วิวฟูจิตระการตา และอาหารท้องถิ่น

จังหวัดชิสึโอกะขึ้นชื่อในฐานะแหล่งท่องเที่ยวที่ผสานความงดงามของธรรมชาติ มรดกทางวัฒนธรรม และชีวิตสโลว์ไลฟ์ที่อบอุ่นใจไว้อย่างลงตัว นับเป็นประสบการณ์ที่ไม่ได้พบได้บ่อยนักในเส้นทางท่องเที่ยวทั่วไป ตั้งแต่การนั่งกระเช้าชมวิวในอะตามิ ไปจนถึงโฮมสเตย์ ณ ไร่ชาที่เงียบสงบที่ Tabinoya แผนทริป 3 วันนี้ได้พาคุณไปพบกับอีกด้านของญี่ปุ่นที่แตกต่างออกไป ไม่ว่าคุณจะชื่นชอบทิวทัศน์บนภูเขา เกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์ หรือชอบลิ้มลองรสชาติอาหารท้องถิ่น ชิสึโอกะคือจุดหมายที่ให้คุณได้สัมผัสความงามที่ซุกซ่อนอยู่อย่างไม่รู้จบของญี่ปุ่น

มนต์เสน่ห์ชูบุ

เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่

รับส่วนลดมากมายในญี่ปุ่น ที่นี่!

เกี่ยวกับนักเขียน

Avery
Avery Chan
  • แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

ค้นหาร้านอาหาร