"12 เสาโทริอิ" ทั่วญี่ปุ่น สัมผัสมนต์เสน่ห์ในโลกแห่งศรัทธา

"โทริอิ" (Torii) เปรียบเสมือนประตูเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์และโลกวิญญาณซึ่งได้รับการกล่าวถึงในบทกวีและงานเขียนญี่ปุ่นมาตั้งแต่อดีต ความเชื่อเหล่านี้ได้ฝังรากลึกลงไปในจิตใต้สำนึกของคนญี่ปุ่น และกลายเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมพื้นบ้านไปโดยปริยาย ในบทความนี้ เราจะมาแนะนำ 12 สถานที่สุดงดงามสำหรับชมโทริอิ ตามไปรู้จักกับความเชื่อเกี่ยวกับโทริอิและโลกวิญญาณอันแสนสำคัญของคนญี่ปุ่นกันเลย!

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

บทความนี้อาจมีลิงก์พาร์ทเนอร์ หากคุณทำการซื้อผ่านลิงก์พาร์ทเนอร์ เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ

"โทริอิ" ของญี่ปุ่นคืออะไร?

ชื่อเรียกโทริอินั้น มาจากคำว่า "โทริ" (鳥) ที่แปลว่านก และ "อิรุ" (居) ที่แปลว่าอยู่ เมื่อรวมกันจึงหมายถึงสถานที่อันแสนวิเศษที่มีนกหลากหลายสายพันธุ์มาอาศัยอยู่ร่วมกันดั่งโลกในตำนานโบราณ ศาลเจ้าทุกแห่งจะต้องมีโทริอิตั้งอยู่ที่ทางเข้าหรือบริเวณใจกลางอยู่เสมอ โทริอิมีลักษณะเป็นเสาไม้ใหญ่ 2 ต้นที่ตั้งอยู่คนละฝั่งกัน และมีท่อนไม้ 2 ท่อนวางเป็นแนวนอนอยู่ด้านบน เมื่อเวลาผ่านไป โทริอิก็ไม่ได้เป็นเพียงซุ้มประตูธรรมดา แต่ได้หลอมรวมเป็นจิตวิญญาณของวัฒนธรรมญี่ปุ่นไปเรียบร้อย

1. ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (เกียวโต) - หมื่นโทริอิเรียงราย ต้อนรับผู้มาเยือนแดนศักดิ์สิทธิ์

ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (伏見稲荷大社) เป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ที่นี่มีเสาโทริอิสีแดงสดกว่าหมื่นต้นตั้งเรียงกันขึ้นไปตามเส้นทางสู่ยอดเขาอินาริ ผู้คนนิยมเรียกกันว่า "อุโมงค์โทริอิหมื่นต้น" (千本鳥居) ศาลเจ้าแห่งนี้ยังเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า "อินาริซัง" (稲荷さん) ซึ่งมาจากเทพเจ้าอินาริที่สถิตอยู่ในศาลเจ้าแห่งนี้ ท่านมีชื่อเสียงในฐานะเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ ให้โชคด้านการค้าขาย การเรียนและการเพาะปลูก ด้วยเหตุนี้ผู้คนจากทั่วประเทศจึงเดินทางมาขอพรกันเป็นประจำทุกปี


สำหรับผู้ที่มาเป็นครั้งแรกคงอดไม่ได้ที่จะชื่นชมความงดงามของศาลเจ้าแห่งนี้ โดยเฉพาะเสาโทริอิที่เรียงรายกันกว่าหมื่นต้น ให้บรรยากาศที่สงบและสง่างามเป็นระยะทางกว่า 4 กิโลเมตร และอาจต้องใช้เวลาเดินประมาณ 2 - 3 ชั่วโมงเลยทีเดียว

โทริอิเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นด้วยเงินบริจาคที่ผู้คนและองค์กรต่างๆ นำมาถวายเพื่อขอให้มีโชคดีและประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ โดยเงินที่ถวายจะแตกต่างกันไปตามขนาดเสา (มีทั้งหมด 6 ขนาด) แบบที่เล็กที่สุดคือเบอร์ 5 ราคา 210,000 เยน และแบบที่ใหญ่ที่สุดคือเบอร์ 10 ราคา 1,600,000 เยน ทางศาลเจ้าจะจารึกชื่อผู้บริจาคหรือองค์กรไว้ที่เสาอย่างชัดเจนด้วยตัวอักษรสีดำด้วย

อย่างไรก็ตาม เสาโทริอิแต่ละต้นมีราคาแพงพอสมควร จึงบริจาคทีเดียวได้ยาก ขอแนะนำให้บริจาคเพียงไม่กี่ร้อยเยนและรับเครื่องรางกลับไปแทน และหากมีโอกาสแวะมาที่ศาลเจ้าแห่งนี้ก็อย่าลืมถ่ายรูปกลับไปเป็นที่ระลึกด้วยนะ

2. ศาลเจ้าอิตสึคุชิมะ (ฮิโรชิม่า) - โทริอิลึกลับกลางทะเล

โทริอิของศาลเจ้าอิตสึคุชิมะ (厳島神社ถือเป็นโทริอิที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ตั้งอยู่แถว "เกาะมิยาจิม่า" (宮島) จังหวัดฮิโรชิม่า มีความสูงรวม 16 เมตร น้ำหนัก 60 ตัน เป็นเสาสีแดงสดที่ตั้งอยู่กลางทะเลและมีจุดเด่นอยู่ที่น้ำหนักที่ทำให้มันสามารถในการตั้งอยู่กลางน้ำได้อย่างมั่งคงแม้จะไม่ได้อยู่บนพื้นดิน นอกจากนี้ ระดับน้ำยังมีการเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา ทำให้คุณสามารถเห็นทัศนียภาพที่แตกต่างกันได้มากมายใน 1 วัน

เวลาน้ำขึ้น ตัวเสาจะดูเหมือนลอยอยู่บนผิวน้ำ มีเงาสะท้อนจนเกิดเป็นทัศนียภาพที่ดูน่าค้นหา แต่เมื่อระดับน้ำลดลง คุณก็จะได้ชมความยิ่งใหญ่ของเสาโทริอินี้ทั้งต้น อีกทั้งยังสามารถเข้าไปดูใกล้ๆ และถ่ายรูปกับโทริอิต้นนี้ได้ด้วย

ถึงแม้เวลาจะผ่านมา 145 ปีแล้ว แต่โทริอิต้นนี้ก็ยังคงตั้งตระหง่านอยู่นอกชายฝั่งได้อย่างมั่นคง ท่ามกลางจิตวิญญาณแห่งลัทธิชินโตในทะเลสีฟ้าครามและกระแสน้ำที่เพิ่มขึ้นและลดลง นอกจากนี้ ยังได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 3 สถานที่ที่มีทัศนียภาพสวยที่สุดในญี่ปุ่น และได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์การ UNESCO ด้วย ทั้งปีมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลกันมาไม่ขาดสายเลยทีเดียว

 

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

3. ศาลเจ้าโมริโตะ (คานางาวะ) - ทิวทัศน์ภูเขาไฟฟูจิ โทริอิและประภาคารที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว

โทริอิ ภูเขาไฟฟูจิและประภาคาร ทั้ง 3 อย่างนี้ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน แต่กลับรวมกันออกมาเป็นทัศนียภาพอันงดงามได้อย่างลงตัว เสาโทริอิต้นนี้อยู่ในศาลเจ้าโมริโตะ (森戸神社) บน "เกาะนาจิม่า" (名島) ในเมืองฮายามะ เกาะนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ของจังหวัดคานางาวะ เป็นเกาะเปล่าไร้คน ส่วนข้างๆ กันนั้นก็คือ "ประภาคารฮายามะ" หรือ "ยูจิโร่" (葉山灯台 / 裕次郎) ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกถึงนักแสดงชื่อดัง "อิชิฮาระ ยูจิโร่" (石原裕次郎) 

หากคุณมาในช่วงพระอาทิตย์ตกดินก็จะได้เห็นแสงอาทิตย์ที่กำลังสาดกระทบกับโทริอิ ประภาคารและภูเขาไฟฟูจิ เกิดเป็นภาพทิวทัศน์ที่งดงามราวกับจะหยุดเวลาเอาไว้ได้เลย

นอกจากนี้ หากคุณชื่นชอบกีฬาผจญภัยก็สามารถเช่าเรือคายัคหรือเรือแคนูเพื่อพายไปยังเกาะได้อีกด้วย (ช่วงเดือนกรกฎาคม - สิงหาคมเท่านั้น) เป็นตัวเลือกที่คนรักศิลปะและการผจญภัยไม่ควรมองข้ามเลยทีเดียว

Klook.com

4. ศาลเจ้าอามาโนะอิวาโตะ (มิยาซากิ) - โทริอิลึกลับในถ้ำ

ศาลเจ้าอามาโนะอิวาโตะ (天岩戸神社) ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมือง "ทากาชิโฮ" (高千穂町) ประมาณ 10 กิโลเมตร ซ่อนตัวอยู่ในภายในถ้ำอามาโนะยาสุกาวาระอันศักดิ์สิทธิ์ ความหมายในชื่อของศาลเจ้าแห่งนี้ คือ "ถ้ำของเทพธิดาแห่งดวงอาทิตย์" (太陽女神の洞窟) ซึ่งเกี่ยวข้องกับตำนานการเกิดซุ้มประตูโทริอิอันแพร่หลาย

เนื่องจากถ้ำแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ "เทพอามาเทราสึ" (天照大御神 เทพแห่งแสงสว่าง) ใช้ในการหลบหนี "เทพซูซาโนโอะ" (須佐之男命 เทพแห่งลม) ผู้เป็นน้องชายที่ก่อเรื่องวุ่นวาย นางมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่จนทำให้เกิดความมืดเข้ามาปกคลุมโลก เทพองค์อื่นๆ จึงมารวมตัวกันเพื่อหาวิธีให้นางยอมออกมาจากถ้ำ ในที่สุด เทพอาราเทมาสึก็ยอมออกมาและทำให้แสงสว่างกลับมาสู่โลกอีกครั้ง 

ตำนานดังกล่าวทำให้ชาวบ้านในท้องที่ตัดสินใจสร้างศาลเจ้าแห่งนี้ขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่สักการะบูชาเทพอามาเทราสึนั่นเอง

ที่นี่คุณจะได้ชมทัศนียภาพอันงดงามของก้อนหินและต้นไม้ใหญ่ที่โตไปตามทิศทางของแสงอาทิตย์ รวมถึงโทริอิเก่าแก่ลึกลับที่อยู่บริเวณปากทางเข้า "ถ้ำอามาโนะยาสุกาวาระ" (天安河原の洞窟) ท่ามกลางกองหินที่วางซ้อนกันเป็นพันๆ กอง โดยมีความเชื่อที่สืบต่อกันมาว่าหากอธิษฐานระหว่างที่เรียงก้อนหินซ้อนกันจะสามารถทำให้ความปรารถนาเป็นจริงได้

5. ศาลเจ้าโมโตโนะสุมิอินาริ (ยามากุจิ) - เส้นทางริมทะเลและเสาโทริอิ 123 ต้น

ศาลเจ้าโมโตโนะสุมิอินาริ (元乃隅稲荷神社) ถูกสร้างขึ้นในปี 1955 ตามคำแนะนำของจิ้งจอกขาวผู้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ "เทพอินาริ" เทพเจ้าในความเชื่อของลัทธิชินโต

เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่ง สุนัขจิ้งจอกขาวตัวหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ ชาวประมงท้องถิ่นนามว่า "โอคามุระ ฮิโตชิ" (岡村斉) และขอร้องเขาให้ทำพิธีเพื่อสักการะดวงวิญญาณที่คอยคุ้มครองและช่วยเหลือชาวประมง จิ้งจอกขาวบอกว่าจะมีผลดีตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นทำมาค้าขึ้น กิจการเจริญรุ่งเรือง จับปลาได้มาก เดินทางในทะเลได้อย่างปลอดภัย มีคู่ครองที่ดีและมีลูกง่าย แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง มั่งคั่งร่ำรวย เดินทางปลอดภัย ประสบความสำเร็จในด้านการศึกษาและสมปรารถนาทุกประการ

จุดเด่นของศาลเจ้าแห่งนี้ คือ เสาโทริอิที่เรียงรายกันเป็นระยะทางกว่า 100 เมตร ยาวไปจนถึงเสากลาง เหนือเสาประตูโทริอิต้นสุดท้ายที่เป็นทางออกจะมีกล่องรับเงินทำบุญตั้งอยู่ ว่ากันว่าหากสามารถโยนเงินทำบุญลงในกล่องได้ก็จะทำให้ความปรารถนาเป็นจริง 

ใน ค.ศ. 2015 ศาลเจ้าโมโตโนะสุมิอินาริ ได้ถูกเลือกให้เป็นหนึ่งใน "31 สถานที่ที่สวยงามที่สุดในญี่ปุ่น" โดยสถานี CNN ของสหรัฐอเมริกา จากนั้นก็ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวหลักพันได้ในทุกๆ ปี

6. ศาลเจ้ายาโอโตมิ (ไอจิ) - สะพานสูงสง่านำทางสู่ศาลเจ้าเหนืออ่าวทะเล

ศาลเจ้ายาโอโตมิ (八百富神社) อันศักดิ์สิทธิ์นี้ตั้งอยู่บนเกาะทาเคชิมะ (竹島) เกาะเล็กๆ ที่มีเส้นรอบเกาะยาวประมาณ 680 เมตร เชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่ด้วยสะพานขนาด 387 เมตร ที่มีโทริอิสูงสง่าอยู่ตรงเชิงสะพาน นอกจากนี้ บนเกาะยังมีโทริอิขนาดเล็กที่ทำจากปูนซีเมนต์ขาวมากมายตั้งอยู่ด้วย ที่นี่เปรียบเสมือนป่าไม้อบอุ่นขนาดย่อส่วน มีพืชหายากอยู่กว่า 238 สายพันธุ์จาก 65 สปีชีส์

ศาลเจ้ายาโอโตมิแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นใน ค.ศ.1181 ยุคเฮอัน โดยขุนนางนามว่า "ฟูจิวาระ โนะ ชุนเซ" (藤原俊成) เพื่อสักการะ "อิจิคิชิมะฮิเมะมิโคโตะ" (市杵島姫命) ผู้งดงามซึ่งเป็นตัวแทนของความโชคดี การคลอดบุตร และการแต่งงาน

นอกจากนี้ ที่นี่ยังได้รับการกำหนดให้เป็นอนุสรณ์สถานทางธรรมชาติ และเป็น 1 ใน 7 สถานที่สักการะ "เทพเจ้าเบ็นไซเท็น" (弁財天 เทพเจ้าแห่งความรอบรู้และศิลปะ) ที่โด่งดังที่สุดในญี่ปุ่นด้วย คนญี่ปุ่นเชื่อกันว่าหากสามีภรรยาจับมือกันเดินข้ามสะพานนี้ จะทำให้ชีวิตคู่มีแต่ความสุขตลอดไป

หากมีโอกาสได้ไปล่ะก็ อย่าลืมพาคนรักของคุณไปจับมือกันเดินข้ามสะพานนะ!

 

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

7. ศาลเจ้าซากุราอิ (ฟุกุโอกะ) - ศาลเจ้าที่หันออกสู่มหาสมุทรแปซิฟิกและตำนานหินเมโอโทอิวะ

โทริอิสีขาวบริสุทธิ์ที่ตั้งตระหง่านตัดกับทะเลและท้องฟ้าครามใน "ฟุตามิกะอุระ" (二見ヶ浦) ซุ้มประตูโทริอินี้เพิ่งจะถูกชาวบ้านในท้องที่ทาสีขาวไปในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 2018 ที่ผ่านมา

ห่างจากชายฝั่งทะเลไปประมาณ 150 เมตร คุณจะเห็นโขดหินสองก้อนที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมา คนญี่ปุ่นเรียกว่า "เมโอโทอิวะ" (夫婦岩) ซึ่งมีความหมายว่า "โขดหินสามีภรรยา" โดยจะมีการเชื่อมโยงโขดหินทั้งสองเอาไว้ด้วยเชือกหนา ยาว 30 เซนติเมตรที่มีน้ำหนัก 1 ตัน (มีการเปลี่ยนใหม่ในเดือนพฤษภาคมของทุกปี) ความสูงของหินทั้งสองก้อนอยู่ที่ 11.2 เมตร และ 11.8 เมตร นอกจากนี้ มันยังได้รับการยกย่องเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าซากุราอิ (櫻井神社) มาตั้งแต่สมัยโบราณด้วย

ภาพของโทริอิบนชายฝั่งที่ผสานไปกับคลื่นทะเลและหันหน้าสู่มหาสมุทรแปซิฟิกอันกว้างใหญ่ เมื่อมองออกไปก็จะเห็นโขดหินสองก้อนที่ตั้งตระหง่านราวกับจะพิสูจน์ความรักอันมั่นคง

ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของที่นี่ คือ ได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามที่สุดในญี่ปุ่น เพราะยามที่พระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า ซุ้มประตูโทริอิและโขดหินคู่เมโอโทอิวะจะถูกย้อมไปด้วยแสงสีส้มอบอุ่นของดวงอาทิตย์ เป็นทิวทัศน์ที่งดงามจับตา สามารถสะกดลมหายใจของผู้พบเห็นได้เลยทีเดียว

8. ศาลเจ้าโออาราอิ อิโซซากิ (อิบารากิ) - อาบแสงเรืองรองของรุ่งอรุณที่ไม่มีใครเหมือน

ศาลเจ้าโออาราอิ อิโซซากิ (大洗磯前神社) มีประวัติศาสตร์เก่าแก่และยาวนานมาตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษที่ 9 กับเสาโทริอิอันโด่งดังอย่าง "คามิอิโซะ" (神磯) ต่างก็ได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น

เทพเจ้าที่สถิตอยู่ในศาลเจ้าแห่งนี้ คือ "เทพโออานามูจิ โนะ มิโคโตะ" (大己貴命)  เทพเจ้าแห่งสันติภาพ สุขภาพ และความเจริญรุ่งเรือง จุดเด่นของที่นี่ คือ โทริอิที่สร้างบนโขดหินริมฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกอันกว้างใหญ่

ในวันขึ้นปีใหม่ของทุกปี จะมีผู้คนแห่แหนมาชมพระอาทิตย์ขึ้นกันอย่างคับคั่ง เพื่อเป็นการต้อนรับสิ่งใหม่ๆ ต้อนรับปีใหม่ ในที่สุด กิจกรรมนี้ก็ได้กลายเป็นวัฒนธรรมอันศักดิ์สิทธิ์ของผู้คนที่นี่ไป หากคุณมีโอกาสมาเที่ยวที่อิบารากิก็อย่าลืมมาที่ศาลเจ้าแห่งนี้เพื่อซึมซับความงดงามและความศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่กันด้วยล่ะ

9. ศาลเจ้าทาคายามะอินาริ (อาโอโมริ) - ทางเดินศักดิ์สิทธิ์ที่มีรูปปั้นจิ้งจอกขาวนับพันตัว

ศาลเจ้าทาคายามะอินาริ (高山稲荷神社) สร้างขึ้นกลาง "ภูเขาเบียวบุ" (屏風山) โดยตระกูล "อันโดะ" (安藤氏) ซึ่งเป็นหนึ่งในมหาอำนาจในช่วงยุคคามาคุระถึงมูโรมาจิก่อนจะได้รับการปรับปรุงใหม่อีกครั้งในสมัยเอโดะ จากที่นี่ คุณจะได้ชมทัศนียภาพของทะเลญี่ปุ่น ภูเขาอิวากิ และทะเลสาบจูซังโกะได้ เทพเจ้าประจำศาลเจ้าทาคายามะนี้ คือ "เทพอินาริ" (稲荷) ซึ่งเป็นองค์เดียวกันกับที่สักการะในศาลเจ้าฟูชิมิอินาริของจังหวัดเกียวโต

ที่คุณเห็นในภาพด้านบน คือ ซุ้มประตูโทริอิสีแดงสด 202 ต้นที่เรียงรายไปตามทางเดิน มุ่งสู่ที่ประดิษฐานของเทพเจ้าประจำศาลเจ้า ภาพนี้ถ่ายในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2018

ในฤดูใบไม้ผลิ โทริอิสีแดงจะถูกล้อมไปด้วยดอกซากุระสีชมพูดูนุ่มนวลและอ่อนหวาน ส่วนในฤดูร้อนก็จะเต็มไปด้วยแมกไม้เขียวขจีดูสดใส จากนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นทิวทัศน์สุดแสนโรแมนติกสีแดงส้มเหลืองอันอบอุ่นของฤดูใบไม้ร่วง และจบลงท่ามกลางหิมะสีขาวโพลนที่ตัดกับโทริอิสีแดงสดในช่วงฤดูหนาว ทั้งหมดล้วนเป็นทัศนียภาพที่สวยเด่นสะดุดตา อีกทั้งยังแตกต่างกันไปตามฤดูกาล ทำให้คุณได้สัมผัสกับความงามอันน่าทึ่งของฤดูกาลในญี่ปุ่นอย่างครบถ้วนแน่นอน

นอกจากส่วนของศาลเจ้าแล้ว บริเวณนี้ยังมีสถานที่น่าสนใจอย่างสวนสาธารณะอยู่แถวๆ ต้นทางของเสาโทริอิด้วย ตรงนี้จะมีรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกกว่าพันตัวตั้งอยู่โดยรอบ ทำให้ถูกเรียกว่า "สุสานจิ้งจอก" (狐の墓場)

การตั้งรูปปั้นจิ้งจอกนี้มาจากตำนานเกี่ยวกับเทพอินาริ (เทพเจ้าของสุนัขจิ้งจอก) ที่เล่าต่อกันมาว่าทุกครั้งที่เทพอินาริปรากฏตัวจะมีจิ้งจอกขาวตัวหนึ่งอยู่ข้างกายเสมอ ด้วยเหตุนี้ ศาลเจ้าที่บูชาเทพเจ้าอินาริจึงตั้งรูปปั้นจิ้งจอกขาวที่มีผ้าผูกคอสีแดงเอาไว้ทุกหนแห่ง เพื่อเฝ้ารอเทพของพวกมันนั่นเอง

10. โขดหินเอบิสึและโขดหินไดโคคุ (ฮอกไกโด) - โทริอิโดดเดี่ยวบนโขดหินในทะเลสีคราม

"เมืองโยอิจิ" (余市) มีโขดหิน 2 ก้อนที่ตั้งห่างจากหาดทรายประมาณ 10 เมตร โขดหินที่ด้านล่างเรียวเล็กดูไม่มั่นคงเรียกว่า โขดหินเอบิสึ (えびす岩) ส่วนโขดหินรูปร่างกลมใหญ่ดูมั่นคงนั้น เรียกว่า โขดหินไดโคคุ (大黒岩) โขดหินนี้มีโทริอิขนาดเล็กตั้งอยู่ด้านบน ดูสวยงามน่าพิศวงสำหรับผู้พบเห็น

โขดหินเอบิสึนั้นตั้งตามชื่อของ 1 ใน 7 เทพเจ้าแห่งโชคลาภตามความเชื่อของญี่ปุ่น ส่วนชื่อ "ไดโคคุ" (大黒) นั้นเป็นการตั้งตามสีและรูปร่างของโขดหิน ซึ่งหมายถึงโขดหินสีดำก้อนใหญ่นั่นเอง แม้โขดหินทั้งคู่จะมีลักษณะที่แตกต่างกัน แต่หากลองมองดูดีๆ ก็จะพบว่ารูปร่างของหินทั้งสองก้อนสามารถเติมเต็มกันได้พอดี ผู้คนจึงมักจะเรียกกันว่า "เมโอโทอิวะ" แห่งฮอกไกโด

Klook.com

11. ศาลเจ้าชิราฮิเกะ (ชิกะ) - โทริอิกลางทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น

ศาลเจ้าแห่งนี้ชื่อ ชิราฮิเกะ (白髭) ที่แปลว่า "หนวดสีขาว (白い髭)" ซึ่งเชื่อมโยงกับหนวดของเทพเจ้าที่แก่ชรา บางทีชื่อนี้อาจได้รับแรงบันดาลใจมาจากเทพเจ้าแห่งอายุยืนยาวที่สถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ก็เป็นได้

ศาลเจ้านี้ถูกสร้างขึ้นมากว่าพันปีแล้ว ตั้งอยู่ที่ตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลสาบบิวะในจังหวัดชิกะ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็น จุดพลังงานศักดิ์สิทธิ์ (Power Spot) สำหรับการอธิษฐานขอพรเรื่องชื่อเสียง ความรักและสุขภาพ นอกจากนี้ ยังมีชื่อเสียงในหมู่ตากล้องมากๆ อีกด้วย เพราะเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีทิวทัศน์พระอาทิตย์ตกที่งดงามที่สุดในญี่ปุ่น

โทริอิต้นนี้มีความสูง 12 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล กว้าง 7.8 เมตร และตั้งอยู่ห่างจากทางหลวงเป็นระยะทาง 58.2 กิโลเมตร เอกลักษณ์ของเสาโทริอินี้อยู่ที่การตั้งอยู่ในทะเลสาบบิวะที่สงบและไร้คลื่น สามารถไปชมกันได้ทุกเวลา

12. ศาลเจ้าไทโคะดานิอินาริ (ชิมาเนะ) - มนต์เสน่ห์ลึกลับกลางภูเขาที่ยิ่งใหญ่

"ศาลเจ้าไทโคะดานิอินาริ" (太皷谷稲成神社) ตั้งอยู่ในเมือง "เมืองสึวาโนะ" (津和野町) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในฐานะเมืองปราสาทที่ยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองมากในสมัยเอโดะ (ค.ศ.1603 - 1868) เจ้าเมืองสึวาโนะได้มีคำสั่งให้สร้างศาลเจ้าขึ้นมาใน ค.ศ.1773 โดยเลียนแบบศาลเจ้าฟูชิมิอินาริของเกียวโตเพื่อปกป้องบ้านเมืองให้มีความสงบสุขร่มเย็น ด้วยเหตุนี้ เมืองสึวาโนะจึงมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า "เกียวโตขนาดย่อส่วน" (Little Kyoto) และนับเป็น 1 ใน 5 ศาลเจ้าอินาริที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นด้วย

โทริอิสีแดงที่ส่องประกายเจิดจ้าอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ตระการตานี้จะนำทางผู้มาเยือนไปสู่ยอดเขาอันศักดิ์สิทธิ์ ทุกๆ ปีจะมีผู้ศรัทธากว่าล้านคนหลั่งไหลกันมาอธิษฐานขอพร ณ ที่แห่งนี้ 

ส่งท้าย

เป็นอย่างไรกันบ้าง คุณเคยไปชมโทริอิทั้ง 12 นี้กันมาแล้วหรือยัง? อย่าลืมมาแชร์ประสบการณ์และความประทับใจ รวมถึงสถานที่ที่คุณอยากไปมากที่สุดกับทีมงาน tsunagu Japan กันด้วยนะ 

หากมีคำถาม คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา สามารถติดต่อและติดตามเราผ่านทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ได้เลย !

เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่

รับส่วนลดมากมายในญี่ปุ่น ที่นี่!

เกี่ยวกับนักเขียน

Xuna38
Xuna38
  • แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

ค้นหาร้านอาหาร