25 ที่น่าเที่ยวในฮิโรชิม่า ดื่มด่ำธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม

ฮิโรชิม่า นอกจากจะเป็นที่รู้จักเพราะเหตุการณ์โศกนาฏกรรมในสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว ที่นี่ก็ยังมีสิ่งที่น่าสนใจให้เที่ยวชมอยู่มากมาย ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม อากาศที่ดี วิวธรรมชาติและวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า ตั้งแต่อาหารท้องถิ่นอย่างโอโคโนมิยากิสไตล์ฮิโรชิม่า ไปจนถึงสถานที่ทางประวัติศาสตร์อย่างศาลเจ้าอิทสึคุชิมะ ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปพบกับ 25 สถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดของฮิโรชิม่า!

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

บทความนี้อาจมีลิงก์พาร์ทเนอร์ หากคุณทำการซื้อผ่านลิงก์พาร์ทเนอร์ เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ

จังหวัดฮิโรชิม่า

ฮิโรชิม่าตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่น โดยหันหน้าเข้าหาทะเลเซโตะใน หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนญี่ปุ่น" สามารถเดินทางโดยนั่งเครื่องบินประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที จากสนามบินฮาเนดะในโตเกียว หรือนั่งรถไฟความเร็วสูง ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที จากจังหวัดโอซาก้า หากคุณเที่ยวญี่ปุ่นโดยใช้ JR Pass แล้วล่ะก็ ฮิโรชิม่าเป็นจุดหมายที่เหมาะจะไปเที่ยวต่อจากโอซาก้าเป็นอย่างมาก

เดิมที ฮิโรชิม่าเป็นเมืองปราสาท ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1589 และได้รุ่งเรืองขึ้นในฐานะเมืองท่าและเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมหลังเกิดการฟื้นฟูเมจิในปี 1868 ต่อมา ฮิโรชิม่าตกเป็นเป้าของการโจมตีด้วยระเบิดปรมาณูของสหรัฐอเมริกาในปี 1945 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากมายและสร้างความเสียหายให้กับศูนย์กลางเมืองอย่างมหาศาล หลังจากพยายามฟื้นฟูเมืองอยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จและฮิโรชิม่าก็ได้กลับมาเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองและเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพที่พร้อมจะต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกด้วยความยินดี

ที่เที่ยวห้ามพลาดในฮิโรชิม่า

1. ศาลเจ้าอิทสึคุชิมะ (Itsukushima Shrine)

ศาลเจ้าอิทสึคุชิมะและโทริอิลอยน้ำอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว หนึ่งในวิวทิวทัศน์ที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งของญี่ปุ่น ตั้งอยู่บนเกาะอิทสึคุชิมะ หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อ มิยาจิม่า ที่แปลว่า "เกาะศาลเจ้า" เป็นศาลเจ้าที่ได้รับการระบุให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO

ในช่วงที่น้ำขึ้น ทั้งตัวศาลเจ้าและโทริอิของศาลเจ้านี้จะดูราวกับว่ากำลังลอยอยู่เหนือผิวน้ำ และในช่วงที่น้ำลง คุณก็สามารถเดินเข้าไปชมซุ้มประตูโทริอิใกล้ๆ ได้ด้วย

อีเวนต์พิเศษจะถูกจัดขึ้นที่ศาลเจ้าแห่งนี้ตลอดทั้งปี เทศกาลที่ใหญ่ที่สุด คือ "คันเกนไซ (Kangen-sai)" จะถูกจัดขึ้นประมาณปลายเดือนกรกฎาคมไปจนถึงต้นเดือนสิงหาคม อย่างในปี 2019 ที่ผ่านมา งานก็ถูกจัดขึ้นในวันที่ 19 กรกฎาคม จุดเด่นของเทศกาลนี้ คือ เรือแบบพื้นบ้านที่เรียกว่า "โกซัง (Gozan)" ที่จะล่องไปบนผิวน้ำรอบๆ ศาลเจ้า ภาพของเรือติดคบเพลิงและเสียงดนตรีแบบพื้นบ้านทำให้มันเป็นอีเวนต์อันมีเอกลักษณ์ที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งเมื่อมีโอกาสได้มาฮิโรชิม่า

2. เกาะมิยาจิม่า (Miyajima Island)

แม้ว่าที่นี่จะขึ้นชื่อเรื่องวิวทัวทัศน์ของศาลเจ้าอิทสึคุชิมะ แต่ภายในเกาะมิยาจิม่าเองก็มีสิ่งที่น่าสนใจอยู่มากมาย ให้คุณสามารถใช้เวลาเที่ยวชมได้ทั้งวันอย่างสบายๆ ไม่ว่าจะเป็นกวางป่าที่เดินอยู่ตามท้องถนน ศาลเจ้า วัด เจดีย์ และสวนที่มีอยู่มากมายภายในบริเวณ

คุณสามารถเดินทางมายังเกาะมิยาจิม่าได้ง่ายๆ โดยนั่งเรือโดยสารจากตัวเมืองฮิโรชิม่า เรือจะแล่นผ่านผืนน้ำสีฟ้าของทะเลเซโตะในและเกาะเล็กๆ ในบริเวณโดยรอบ แค่การนั่งเรือนี้ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำแล้ว

อาหารยอดนิยมของที่นี่ คือ หอยนางรมที่จับขึ้นมาสดๆ จากทะเลในละแวกนี้ คุณจะพบร้านอาหารและร้านแผงลอยที่ขายหอยนางรมอยู่มากมายบนเกาะแห่งนี้ สามารถรับประทานได้หลายรูปแบบไม่ว่าจะรับประทานสดๆ ย่าง หรือชุบแป้งทอดก็อร่อยทั้งนั้น

"โมมิจิมันจู (Momiji Manju)" แป้งเค้กไส้ถั่วแดงที่ทำเป็นรูปใบเมเปิ้ลญี่ปุ่น เป็นต้นไม้ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากบนเกาะแห่งนี้ โมมิจิมันจูเป็นหนึ่งในของฝากที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของฮิโรชิม่า จึงไม่ควรพลาดที่จะซื้อกลับไปฝากครอบครัวหรือเพื่อนๆ ของคุณดูสักกล่อง

The Miyajima Water Fireworks Display เป็นหนึ่งในงานแสดงดอกไม้ไฟที่โด่งดังที่สุดของญี่ปุ่น ภาพของดอกไม้ไฟและโทริอิที่ได้รับการประดับไฟในงานนี้ดูน่าตื่นตาเป็นอย่างยิ่ง ในปี 2019 ที่ผ่านมา งานแสดงนี้ก็ได้ถูกจัดขึ้นในวันที่ 24 สิงหาคม เวลา 19:30 น.

หากคุณสนใจท่องเที่ยวทั้งศาลเจ้าอิทสึคุชิมะและบริเวณเกาะมิยาจิม่าภายในวันเดียว เราขอแนะนำ ทัวร์ 1 วันปีนเขาชมวิวลับในมิยาจิม่าโดย Magicaltrip ทัวร์ที่จะพาคุณไปพบกับสถานที่เที่ยวลับๆ ทั่วเกาะมิยาจิม่า พร้อมกับไกด์ที่เป็นคนในพื้นที่ที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้

3. ทัวร์ชมอนุสรณ์สันติภาพและมรดกโลกในฮิโรชิม่า

หากไม่ได้แวะไปชมอนุสรณ์สถานที่สร้างขึ้นหลังจากเหตุการณ์ระเบิดปรมาณูเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็นับว่ามาไม่ถึงฮิโรชิม่า และวิธีที่จะสัมผัสประสบการณ์และเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของฮิโรชิม่าที่เราแนะนำก็คือ เข้าร่วมทัวร์ที่มีไกด์เป็นคนฮิโรชิม่า ทัวร์นี้จะทำให้คุณได้ฟังข้อมูลและเรื่องเล่าจากผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของเมืองนี้โดยตรง

ในทัวร์ ทัวร์ชมอนุสรณ์สันติภาพและมรดกโลกในฮิโรชิม่า (Hiroshima Peace Walking Tour at World Heritage Sites) คุณจะได้พบกับ "โดมปรมาณู (Atomic Dome)" สถานที่ที่เห็นอยู่ในภาพด้านบน เป็นอาคารที่ยังคงเหลือรอดมาได้แม้ว่าจะอยู่ใกล้กับจุดศูนย์กลางการระเบิด ปัจจุบันโดมแห่งนี้เป็นเหมือนสิ่งเตือนใจให้รู้ว่าโศกนาฏกรรมในครั้งนั้นร้ายแรงเพียงใด นอกจากนี้ คุณยังจะได้พบกับ "พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สันติภาพฮิโรชิม่า (Hiroshima Peace Memorial Museum)" ที่เพิ่งได้รับการรีโนเวทขึ้นมาใหม่ รวมไปถึงสวนและอนุสรณ์มากมายที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ทุกอย่างได้รับการออกแบบมาอย่างดี ทั้งในด้านการให้ข้อมูลและการเป็นพื้นที่สำหรับการพักสำรวมใจ

ทัวร์เดินใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง 30 นาที เป็นเวลาที่มากพอจะทำให้คุณได้รู้ว่ามีอะไรอยู่ที่นี่บ้าง แม้ว่าการเรียนรู้เกี่ยวกับความยากลำบากของชาวฮิโรชิม่าอาจเป็นประสบการณ์ที่น่าหดหู่อยู่บ้าง แต่ความเข้มแข็งและการให้ความสำคัญต่อความสงบสุขของเมืองนี้จะต้องทำให้คุณรู้สึกมีความหวังขึ้นมาอย่างแน่นอน

ทัวร์นี้เป็นประสบการณ์อันแสนเรียบง่ายที่ทุกคนควรได้สัมผัสดูสักครั้งเมื่อมาเที่ยวที่ฮิโรชิม่า หากคุณสนใจก็สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับทัวร์และวิธีการจองได้โดยคลิกที่ปุ่มสีส้มด้านล่าง

4. ปราสาทฮิโรชิม่า (Hiroshima Castle)

ถูกสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อประมาณปี 1590 ส่วนภายนอกของปราสาทฮิโรชิม่าถูกสร้างขึ้นใหม่หลังสงครามในปี 1958 ในขณะที่ส่วนภายในถูกสร้างใหม่ในปี 1989 แม้ว่าตัวปราสาทเดิมจะพังทลายไปแล้วเพราะแรงจากระเบิดปรมาณู แต่อาคารปราสาทหลักที่ถูกสร้างขึ้นใหม่นี้ก็ได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ที่บุคคลทั่วไปสามารถเข้าชมได้ ตัวปราสาทสูง 5 ชั้น มีชั้นชมวิวที่มีวิวอันสวยงามของพื้นที่ปราสาทและบริเวณเมืองโดยรอบ

แม้ว่าตัวปราสาทจะสร้างขึ้นใหม่โดยปูนคอนกรีตเป็นหลัก แต่บางส่วนของปราสาท อาทิเช่น ประตูและป้อม ก็ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่โดยใช้วัสดุและเทคนิคแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม เป็นสถานที่ที่แฟนๆ สายสถาปัตยกรรมควรแวะชมให้ได้

ภายในสวนรอบๆ ปราสาทมีต้นไม้ที่รอดชีวิตจากระเบิดปรมาณูอยู่ 2 ต้น ชาวญี่ปุ่นใช้เรียกมันว่า "ฮิบาคุจูโมคุ (Hibakujumoku)" เป็นต้นยูคาลิปตัสกับต้นหลิว ทั้งสองรอดมาได้แม้จะอยู่ในรัศมี 700 เมตรจากศูนย์กลางการระเบิด และในปัจจุบันก็ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังให้กับชาวฮิโรชิม่า

5. Hiroshima Bar Hopping Food Tour

บรรยากาศที่เป็นกันเองของฮิโรชิม่าทำให้มันเป็นหนึ่งในสถานที่ที่เหมาะแก่การท่องเที่ยวยามค่ำคืน แน่นอนว่ามันอาจดูลำบากเล็กน้อยหากคุณเพิ่งเคยมาฮิโรชิม่าเป็นครั้งแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่คุณไม่คุ้นเคยกับ "อิซากายะ (Izakaya)" บาร์สไตล์ญี่ปุ่นที่เสิร์ฟเมนูอาหารท้องถิ่นรสเยี่ยม

วิธีที่ดีที่สุดในการดื่มด่ำไปกับอาหารและสาเกของฮิโรชิม่า คือ หาไกด์ท้องถิ่นที่สามารถแนะนำสถานที่ดีๆ ให้กับคุณได้ นี่เป็นโอกาสดีที่จะได้สำรวจสถานที่ที่ผู้คนยังไม่ค่อยรู้จัก เป็นประสบกาณ์เที่ยวชมเมืองที่สนุกสนานและไม่เหมือนใครอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ไกด์ยังสามารถช่วยคุยภาษาญี่ปุ่นแทนคุณได้ด้วย!

หากทัวร์นี้ทำให้คุณสนใจไปเที่ยวกินอาหารในฮิโรชิม่าขึ้นมาแล้วล่ะก็ ตามไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและดูวิธีการจองได้ที่ปุ่มสีส้มด้านล่าง!

Klook.com

6. หุบเขาซันดังเคียว (Sandankyo Gorge)

จังหวัดฮิโรชิม่ามีชื่อเสียงในเรื่องวิวธรรมชาติที่สวยสะกดตา ในกรณีที่คุณอยากออกนอกตัวเมือง หุบเขาซันดังเคียวเป็นตัวเลือกที่ดีอย่างยิ่ง เนื่องจากสามารถเดินทางไป - กลับได้ภายในวันเดียวโดยนั่งรถบัสจากสถานีฮิโรชิม่า หุบเขานี้ขึ้นชื่อเรื่องน้ำที่ใสสะอาด มีวิวซากุระและใบไม้เปลี่ยนสีที่ยอดเยี่ยม และในช่วงฤดูร้อน พื้นที่บริเวณนี้ก็จะมีอากาศที่เย็นสบายและมีวิวที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวสบายตา 

หากคุณชอบการเดินเขา ที่นี่ก็มีหุบเขายาว 13 กิโลเมตรที่มีเส้นทางให้เดินชมอยู่มากมาย ตั้งแต่เส้นทางระยะสั้นที่ใช้เวลาเพียง 30 นาที ไปจนถึงเส้นทางที่ต้องใช้เวลาเดินถึง 5 ชั่วโมง นับว่าเป็นเส้นทางเดินเขายอดนิยม และยังมีการทำสัญลักษณ์บอกเส้นทางไว้อย่างชัดเจนอีกด้วย นอกจากนี้ หากคุณสนใจจะไปผจญภัยทางน้ำ คุณก็สามารถเช่าเรือคายัคไปพายเล่นได้

ไฮไลท์ของที่นี่ประกอบไปด้วย "น้ำตกซันดัง (Sandan Falls)" น้ำตก 3 ชั้นที่มีชื่อเดียวกับหุบเขานี้ และ "บ่อคุโรฟุจิ (Kurofuchi Pool)" ซึ่งเป็นที่รู้จักว่ามีน้ำสีมรกตที่ดูใสสะอาด มีบริการเรือเฟอร์รี่ที่จะพาคุณไปยัง "ซารุโทบิ (Sarutobi)" ซึ่งเป็นจุดที่แคบที่สุดของช่องเขา หน้าผาทั้งสองฝั่งมีระยะห่างกันเพียง 2 เมตร เท่านั้น

ที่ซารุโทบินี้คุณยังสามารถนั่งเรือต่อไปที่ "คุโรฟุจิโซ (Kurofuchi-So)" ร้านอาหารเล็กๆ ที่เสิร์ฟเมนูปลาสดใหม่ นำมาย่างบนเตาถ่านแบบเปิดโล่ง หลังจากเสร็จทริปเดินเขาแล้ว คุณยังสามารถแวะไปที่โรงแรม Sandankyo Hotel ที่ตั้งอยู่ใกล้กับทางเข้าของหุบเขาเพื่อแช่ออนเซ็นก่อนกลับในราคาเพียง 500 เยนได้อีกด้วย

7. โอโคโนมิมูระ (Okonomimura)

มีโอโคโนมิยากิอยู่ 2 ประเภทที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในญี่ปุ่น คือ สไตล์ฮิโรชิม่าและสไตล์โอซาก้า หากคุณอยากลองโอโคโนมิยากิสไตล์ฮิโรชิม่าด้วยตัวเอง เราขอแนะนำให้แวะไปที่ โอโคโนมิมูระ หรือ หมู่บ้านโอโคโนมิ มีจุดเริ่มต้นจากการที่เหล่าร้านค้าแผงลอยมารวมตัวกันที่ลานกว้างในย่านชินเทนจิ (Shintenchi) เมื่อสงครามจบลง ที่นี่ก็ได้รับการตั้งชื่อว่าเป็น "หมู่บ้านโอโคโนมิ" เนื่องจากมีร้านโอโคโนมิยากิมากถึง 25 ร้านอยู่ภายในบริเวณ (สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อ่านต่อที่บทความนี้)

สิ่งที่ทำให้โอโคโนมิยากิสไตล์ฮิโรชิม่าโดดเด่นไม่เหมือนใครก็คือ การเพิ่มส่วนผสมอย่างเส้นบะหมี่และไข่ดาวลงไป และวัตถุดิบจะถูกวางซ้อนกันเป็นชั้นๆ ไม่ได้ผสมรวมเหมือนกับโอโคโนมิยากิทั่วไป นอกจากนี้ ในขณะที่โอโคโนมิยากิสไตล์คันไซมักจะเป็นแบบที่ให้ลูกค้าย่างเอง แต่ที่ฮิโรชิม่านี้เชฟจะเป็นผู้ย่างให้คุณแทน

8. หุบเขาไทชาคุเคียว (Taishakukyo Gorge)

หุบเขาไทชาคุเคียวมีชื่อเสียงขึ้นมาจาก "สะพานอนบาชิ (Onbashi Bridge)" สะพานหินปูนขนาดใหญ่ มีความยาว 90 เมตร กว้าง 18 เมตร และสูง 40 เมตร ซึ่งนับว่ามันเป็นสะพานหินธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในอดีตเคยถูกใช้เป็นสะพานให้คน ม้า และรถลากข้ามผ่าน แต่ในปัจจุบันผู้คนนิยมเดินผ่านด้านล่างของสะพานเพื่อสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของมัน ในการเดินทางมายังสะพานแห่งนี้ คุณจะได้ผ่านเส้นทางที่มีถ้ำหินปูนอยู่หลายแห่ง รวมถึง "ถ้ำฮาคุอุนโด (Hakuundo Cave)" ที่เปิดให้เข้าชมได้โดยเสียค่าเข้าเพียง 250 เยน นอกจากนี้ ที่จุดเริ่มของเส้นทางยังมีจักรยานให้เช่าอีกด้วย

อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจของหุบเขานี้ คือ "ทะเลสาบชินริวโกะ (Lake Shinryu-ko)" ซึ่งจะได้รับความนิยมเป็นพิเศษในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ไม่ว่าจะเป็นการลงเรือทัวร์ เช่าเรือคายัค หรือเดินตามเส้นทางที่จะผ่านสะพาน 3 แห่ง ก็ดูน่าสนใจทั้งนั้น

เนื่องจากเป็นสถานที่ที่มีการขนส่งสาธารณะค่อนข้างจำกัด เราจึงขอแนะนำให้เดินทางด้วยรถยนต์ ที่นี่มีที่จอดรถให้บริการอยู่ในจุดที่สามารถเดินไปถึงสะพานอนบาชิได้ใน 30 นาที

9. วัดมิทากิ (Mitaki Temple)

เป็นที่รู้จักในฐานะอัญมณีที่ซ่อนเร้นแห่งฮิโรชิม่า ภาพของวัดมิทากิกับเส้นทางเดินเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยแมกไม้ในบริเวณโดยรอบเป็นภาพวิวธรรมชาติที่สวยงามทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การปลีกวิเวกเพื่อไปดื่มด่ำกับธรรมชาติ วัดนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานีฮิโรชิม่า ใช้เวลานั่งรถไฟเพียงแค่ 10 นาที

ทางขึ้นที่สูงชันเป็นหนึ่งในมนต์เสน่ห์ของวัดแห่งนี้ ระหว่างทางคุณจะได้ชมน้ำตก บ่อน้ำ เทวรูปหิน และป่าสีเขียวชอุ่มอย่างเพลิดเพลิน

เมื่อเดินมาถึงเจดีย์ 2 ชั้น คุณก็จะได้พบกับวิวอันสวยงามของฮิโรชิม่าที่แผ่กว้างอยู่ด้านหน้าและหากเดินต่อไปอีก เส้นทางด้านหลังเจดีย์ก็จะพาคุณผ่านสันเขาออกไปสู่ป่าไผ่อันเงียบสงบ

10. Hirata Tourist Farm

เพลิดเพลินไปกับการเก็บผลไม้และกิจกรรมสนุกๆ มากมายที่ Hirata Tourist Farm เป็นสถานที่ที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กๆ เนื่องจากมีกิจกรรมเวิร์กชอปประจำฤดูกาลให้เข้าร่วมมากมาย เช่น การทำผลไม้กระป๋องและไอศกรีมไนโตรเจนเหลว สวนนี้ปลูกผลไม้ไว้มากมาย ทั้งเชอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ องุ่น ลูกพลัม และลูกพีช รับรองว่าคุณจะสามารถเพลิดเพลินไปกับการเก็บผลไม้ได้ตลอดทั้งปี

ภายในฟาร์มนี้ยังมีคาเฟ่ที่จำหน่ายของหวาน น้ำแข็งไสและขนมอื่นๆ สำหรับผู้ที่ต้องการสำหรับประสบการณ์ฟาร์มแบบเต็มที่ เราขอแนะนำบาร์บีคิวสไตล์ญี่ปุ่นหรือการทำปรุงอาหารกลางแจ้ง คุณสามารถเช่าเตาย่างและนำอาหารมาย่างเอง หรือจะเลือกซื้อวัตถุดิบบาร์บีคิวแบบเป็นถาดจากทางฟาร์มก็สามารถทำได้ทั้งนั้น

11. สวนชุคเคเอ็น (Shukkei-en Garden)

สวนแห่งนี้อยู่ห่างจากสถานีฮิโรชิม่าในระยะเดินเพียง 15 นาที สวนชุคเคเอ็นถูกสร้างขึ้นในปี 1619 โดย อุเอดะ โชโกะ (Ueda Soko) ปรมาจารย์ด้านการชงชาซึ่งเป็นผู้ที่ออกแบบสวน "วาฟูโด (Wafudo)" และ "นิโนะมารุ (บริเวณรอบนอกกำแพงปราสาทชั้นที่สอง)" ของปราสาทฮิโรชิม่า หลังเหตุการณ์ระเบิดปรมาณูสวนแห่งนี้ได้ถูกเปิดขึ้นใหม่อีกครั้ง ในปี 1951 จากนั้นก็ได้รับการฟื้นฟูอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งเสร็จสมบูรณ์ในปี 1970

ชื่อของสวนแห่งนี้มีความหมายตรงตัวว่า "ทิวทัศน์ขนาดย่อม" และก็ดังที่ชื่อของมันบอกไว้ คุณจะได้ชมวิวของธรรมชาติที่ถูกย่อส่วนลงมา ซึ่งประกอบไปด้วยภูเขา หน้าผา และทะเลสาบ สวนนี้ยังเป็นสถานที่ยอดนิยมในการรับชมดอกพีช ดอกพลัม และดอกซากุระ เราจึงขอแนะนำให้ลองเช็กเว็บไซต์ของที่นี่ เพื่อตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับงานอีเวนต์พิธีชงชาพิเศษเต่างๆ ที่จะจัดขึ้นในช่วงที่ดอกไม้เหล่านี้เบ่งบาน

12. ย่านโรงกลั่นสาเก ซาคากุระโดริ (Sakagura-Dori Sake Brewery District)

ซาคากุระโดริ สถานที่ห้ามพลาดสำหรับผู้ที่ชื่นชอบในสาเก เป็นถนนชื่อดังที่อยู่ใกล้กับสถานี JR Saijo ของฮิโรชิม่า ย่านนี้มีโรงกลั่นเหล้าสไตล์ญี่ปุ่นโบราณตั้งเรียงรายอยู่ 8 แห่ง มีจุดสังเกตเป็นปล่องไฟที่ทำจากอิฐสีแดง และกำแพงที่มีลวดลายสีดำที่ไม่เหมือนใคร นอกจากจะได้เลือกซื้อและเลือกชิม "ไซโจสาเก (Saijo Sake)" สาเกชื่อดัง ขึ้นชื่อว่ามีรสชาติที่ซับซ้อนละเอียดอ่อนแล้ว ผู้มาเยี่ยมชมยังสามารถเข้าร่วมทัวร์ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 10 ของทุกเดือนได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย คุณสามารถเข้าร่วมทัวร์ได้โดยทำการติดต่อที่ศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยวไซโจซาคากุระโดริ (Saijo Sakagura-Dori Tourist Information Center) โปรดคลิกที่ลิงก์ด้านล่างสำหรับข้อมูลล่าสุดและตารางเวลาของทัวร์ในภาษาอังกฤษ

หากคุณได้มาย่านนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเลยก็คือ "บิชุนาเบะ (Bishunabe)" เมนูนาเบะสูตรท้องถิ่นที่ได้รับการพัฒนาขึ้นในฐานะอาหารสำหรับคนงานในโรงกลั่น ทำขึ้นโดยนำผัก ไก่ หมู ไปต้มรวมกับวัตถุดิบที่ให้กลิ่นหอมอย่างกระเทียมและต้นหอม ปรุงรสด้วยสาเก เกลือ และพริกไทย เป็นเมนูที่ดีต่อสุขภาพและยังใช้ประโยชน์จากสาเกได้อย่างเต็มที่ด้วย

13. เขตอนุรักษณ์ทิวทัศน์บ้านเมือง ทาเคฮาระ (Takehara Townscape Preservation Area)

วิวบ้านเมืองของทาเคฮาระ เป็นจุดที่เหมาะสำหรับแวะไปชมพร้อมๆ กับเกาะโอคุโนะชิมะ สถานที่ที่เราจะแนะนำในอันดับต่อไป ถนนของย่านนี้เรียงรายไปด้วยอาคารที่เคยเป็นของเหล่าพ่อค้าเกลือและพ่อค้าสาเกที่เคยเฟื่องฟูเมื่อประมาณ 350 ปีที่แล้ว ทำให้เราสามารถสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแบบฮิโรชิม่าในยุควันวาน สิ่งหนึ่งที่น่าจับตามองที่นี่ คือ รายละเอียดของการออกแบบเล็กๆ น้อยๆ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น โครงไม้แบบทาเคฮาระแสนปราณีตที่มีให้เห็นอยู่ตามหน้าต่าง

หากคุณชื่นชอบในวัฒนธรรมป็อปของญี่ปุ่น คุณอาจจะเคยได้ยินชื่อ มัซซัง (Massan) ละครช่วงเช้าชื่อดังที่ถ่ายทอดโดย NHK ในปี 2014 และ 2015 ละครนี้นำต้นแบบมาจากชีวิตของ มาซาทากะ ทาเคสึรุ (Masataka Taketsuru) บิดาแห่งวิสกี้ญี่ปุ่น ผู้ที่เดินทางไปร่ำเรียนเทคนิคการกลั่นเหล้าสกอตที่ประเทศสกอตแลนด์ และนำมาต่อยอดจนได้เปิดกิจการขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น Taketsuru Brewery โรงกลั่นของตระกูลนี้ยังสามารถพบเห็นได้ในย่านแห่งนี้

"วัดไซโฮจิ (Saihoji Temple)" ที่ตั้งอยู่บนไหล่เขาข้างๆ เมืองนี้ กล่าวกันว่าได้รับการออกแบบโดยอ้างอิงมาจากวัดคิโยมิสึเดระที่โด่งดังในเกียวโต ขั้นบันไดหินของวัดนี้เป็นที่รู้จักในฐานะ สถานที่ถ่ายทำภาพยนต์ The Girl Who Leapt Through Time เวอร์ชั่นปี 1983 เป็นจุดที่มีวิวแสนวิเศษของบ้านเมืองสมัยก่อนให้ได้รับชม หากมีโอกาสมาย่านนี้แล้วก็ไม่ควรพลาดที่จะลองแวะไปสักครั้ง

Klook.com

14. เกาะโอคุโนะชิมะ (Okunoshima Island)

เกาะโอคุโนะชิมะ หรือที่รู้จักกันในชื่อ เกาะกระต่าย สามารถเดินทางเข้าถึงได้โดยนั่งเรือเฟอร์รี่จากท่าเรือทาดะโนะอุมิ (Tadanoumi Port) ในอดีตเคยถูกใช้เป็นฐานทัพสำหรับผลิตก๊าซพิษ และเคยถูกถอดออกจากแผนที่ญี่ปุ่นเพื่อปกปิดตำแหน่งที่ตั้ง

ปัจจุบัน เกาะแห่งนี้มีสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวเป็นเหล่ากระต่ายป่าที่วิ่งเล่นไปมาอย่างอิสระอยู่ตามสวนและสิ่งก่อสร้างที่ถูกทิ้งร้างอยู่เป็นจำนวนมาก รวมไปถึงโรงผลิตไฟฟ้าและโรงงานผลิตก๊าซพิษที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนเกาะแห่งนี้ ความขัดแย้งกันระหว่างกระต่ายป่าที่น่ารักและวิวของเกาะที่สวยงามกับประวัติศาสตร์ในช่วงสงครามที่แสนมืดมนทำให้เกาะนี้มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง (คลิกที่นี่ เพื่ออ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเกาะที่ไม่เหมือนใครแห่งนี้!)

15. วัดอาบุโตะคันนง (Abuto-Kannon Temple)

วิวที่สวยงามของทะเลเซโตะในเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ฮิโรชิม่าคู่ควรแก่การแวะมาเที่ยวชม ในขณะที่เกาะมิยาจิม่าเป็นสถานที่ห้ามพลาด หากคุณกำลังมองหาสถานที่ที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักแล้วล่ะก็ เราขอแนะนำให้แวะไปที่ "วัดบันไดจิ (Bandaiji Temple)" หรือที่เป็นที่รู้จักกันในชื่อ วัดอาบุโตะคันนง

วัดแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นประมาณปี 1300 และถูกทิ้งร้างไปจนได้รับการฟื้นฟูขึ้นอีกครั้งเมื่อประมาณปี 1570 ในปัจจุบัน วัดที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานแห่งนี้ได้รับการระบุเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่น ตัววัดตั้งอยู่บนปลายสุดของแหลมอาบุโตะได้อย่างน่าอัศจรรย์ และยังมีวิวพาโนราม่าอันสวยงามที่สามารถรับชมได้จาก "โถงคันนง (Kannon Hall)" วัดนี้เป็นที่ประดิษฐานของพระโพธิสัตว์กวนอิม และเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่ในด้านการขอพรให้คลอดบุตรได้อย่างปลอดภัยและความปลอดภัยในการเดินทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทางทางทะเล

16. พิพิธภัณฑ์กองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลญี่ปุ่นคุเระ (Japan Maritime Self Defence Force Kure Museum)

พิพิธภัณฑ์กองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลญี่ปุ่นคุเระ (JMSDF Kure) ถูกตั้งขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของกองเรือญี่ปุ่นในยุคปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มี อากิชิโอะ (Akishio) เรือดำน้ำปลดประจำการยาว 76.5 เมตร ที่ถูกนำมาจัดแสดงอยู่ หากคุณเคยอยากเข้าไปในเรือดำน้ำจริงๆ แล้วล่ะก็ นี่เป็นโอกาสทองที่พลาดไม่ได้เลยทีเดียว!

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังมีการจัดแสดงที่ให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของ JMSDF และกิจกรรมที่กองเรือทำเพื่อรักษาสันติภาพในยุคปัจจุบัน ซึ่งก็รวมไปถึงการเข้าร่วมเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามชายฝั่งหลังสงครามอ่าวเปอร์เซียด้วย

17. พิพิธภัณฑ์มาสด้า (Mazda Museum)

รู้ไหมว่าสำนักงานใหญ่ของมาสด้าตั้งอยู่ในฮิโรชิม่า ผู้ที่ชื่นชอบรถยนต์ไม่ควรพลาดที่จะแวะไปยัง พิพิธภัณฑ์มาสด้าที่เดินทางถึงได้ง่ายๆ โดยนั่งรถบัสหรือรถไฟจากสถานีฮิโรชิม่า

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์และแผนการณ์ในอนาคตของรถมาสด้า รวมถึงมอเตอร์และเทคโนโลยีต่างๆ ของทางบริษัท และแน่นอนว่ามียานพาหนะรุ่นคลาสสิกของมาสด้าให้เดินชมอยู่มากมาย ไฮไลท์ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ คือ คุณสามารถเข้าชมไลน์การผลิตจริงๆ ของมาสด้าได้จากชั้นชมวิวของพิพิธภัณฑ์

แม้ว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะไม่มีค่าเข้าชม แต่คุณก็จำเป็นต้องจองทัวร์ล่วงหน้าหากต้องการชมสิ่งจัดแสดงต่างๆ คุณสามารถจองทัวร์ภาษาอังกฤษได้ทางอินเทอร์เน็ต โดยผ่านเว็บไซต์ของพิพิธภัณฑ์มาสด้า

18. ภูเขาชิราทากิ (Mt. Shirataki) และ โกะเฮียคุราคัง (Gohyaku Rakan)

ภูเขาชิราทากิ เป็นภูเขาสูง 226 เมตรที่ตั้งอยู่บนเกาะอินโนะชิมะ (Innoshima Island) ที่นี่มีชื่อเสียงเพราะมี โกะเฮียคุราคัง หรือกลุ่มเทวรูปหินกว่า 700 องค์ ที่สลักขึ้นโดย เดนโรคุ คาชิฮาระ (Denroku Kashihara) ผู้ก่อตั้งกลุ่มศาสนาที่มีชื่อเสียงและบรรดาลูกศิษย์ของเขา ทั้งหมดใช้เวลาสลักประมาณ 3 ปี โดยนับจากปี 1827

ที่นี่นี้ยังขึ้นชื่อในเรื่องวิวทิวทัศน์ที่น่าตื่นตาของทะเลเซโตะใน พื้นที่บริเวณรอบเกาะ และสะพานอินโนะชิมะ (Innoshima Bridge) ซึ่งจะสวยงามเป็นพิเศษในช่วงพระอาทิตย์ตกดิน และในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดอกซากุระที่เบ่งบานจะให้ทำการเดินทางขึ้นยอดเขาของคุณมีความพิเศษมากขึ้น

19. ฟาร์มเซระโคเก็น (Sera Kogen Farm)

เซระโคเก็น เป็นฟาร์มดอกไม้เพื่อการท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ในเซระ พื้นที่แถบชนบทที่อยู่ห่างจากเมืองฮิโรชิม่าในระยะขับรถประมาณ 50 นาที และเนื่องจากที่นี่เป็นย่านชนบท หากคุณอยากมารับชมทุ่งดอกไม้ที่น่าตื่นตาของที่นี่ล่ะก็ เราขอแนะนำให้คุณเดินทางมาด้วยรถยนต์

ในทุกๆ ปี ที่นี่จะมีการจัดอีเวนต์ชมดอกไม้ขึ้น 4 ครั้ง คือ ดอกซากุระและทิวลิปในฤดูใบไม้ผลิ ดอกทานตะวันในฤดูร้อน และดอกดาเลียในฤดูใบไม้ร่วง

ฟาร์มเซระโคเก็นยังมีสถานที่ในเครือเดียวกันอยู่อีก 2 แห่ง ได้แก่ "คามุโนะซาโตะ (Kamu no Sato)" ทุ่งดอกฟล็อกซ์สีชมพูและดอกนีโอฟิเลียสีฟ้า ที่จะเปิดให้เข้าชมในช่วงต้นเดือนเมษายนถึงกลางพฤษภาคม และ "เซระโคเก็นฮานะโนะโมริ (Sera Kogen Hana no Mori)" สวนกุหลาบที่จะเปิดให้เข้าชมในช่วงเทศกาลกุหลาบปีละ 2 ครั้ง โดยครั้งแรกจะจัดขึ้นในช่วงปลายพฤษภาคมถึงกลางกรกฎาคม และครั้งที่สองในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ประมาณปลายกันยายนถึงต้นพฤศจิกายน

(สำหรับจุดชมดอกไม้อื่นๆ ในญี่ปุ่น สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่!)

20. วัดโคซันจิ (Kosanji Temple)

วัดโคซันจิ วัดที่มีภูมิหลังค่อนข้างแตกต่างไปจากวัดอื่นๆ ในบทความนี้ เนื่องจากเพิ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1936 โดยโคโซ โคซันจิ (Kozo Kosanji) นักธุรกิจฐานะดีผู้ปรารถนาจะบวชเป็นพระ เขาได้สร้างวัดนี้ขึ้นเพื่ออุทิศให้กับแม่ของตนที่เสียชีวิตไป วัดแห่งนี้เต็มไปด้วยรูปเคารพของเทพเจ้าเพศหญิงและยังเป็นที่ตั้งของอาคารเลียนแบบของสถาปัตยกรรมทางศาสนาชื่อดังของญี่ปุ่น เช่น "โฮโอโด (Hoodo)" ของวัดเบียวโดอิน (Byodoin Temple) ในเมืองอุจิจังหวัดเกียวโต และ "ประตูโยเมมง (Yomeimon Gate)" จากวัดโทโชกู (Toshogu Temple) เมืองนิกโก้

หากคุณสนใจงานศิลปะสไตล์โบราณที่ดูคลาสสิก เราขอแนะนำให้ไปชม "เรือนโจเซคาคุ (Choseikaku Villa)" ซึ่งถูกสร้างขึ้นในปี 1927 โดยโคโซ โคซันจิ ในช่วงที่แม่ของเขายังมีชีวิตอยู่ คุณภาพของเทคนิคการช่างและวัสดุที่ใช้ทำให้มันได้รับการระบุให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้ของญี่ปุ่น อาคารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นแบบทุ่มทุนเต็มที่ แม้แต่เครื่องประดับก็เป็นงานฝีมือจากศิลปินญี่ปุ่นชื่อดังทำให้มันเป็นตัวอย่างของด้านงานสถาปัตยกรรมที่มีคุณภาพสูงสุดในยุคนั้น นอกจากนี้ เรือนโจเซคาคุยังเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความรักที่โคโซ โคซันจิมีต่อแม่ของเขาด้วย

21. เนินแห่งความหวัง (Hill of Hope)

ตั้งอยู่ภายในพื้นที่ของวัดโคซันจิ เนินแห่งความหวังได้รับการออกแบบโดยช่างประติมากรรมชื่ออิตโต คุเอทานิ (Itto Kuetani) โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 16 ปี ทำขึ้นด้วยหินอ่อนจากอิตาลีที่มีน้ำหนักกว่า 3,000 ตัน และกินพื้นที่กว่า 5,000 ตารางเมตร เป็นบริเวณที่มีหินอนุสรณ์และงานประติมากรรมมากมายให้ชื่นชม ประติมากรรมที่อยู่ในรูปด้านบนมีชื่อว่า "หอคอยแห่งความหวัง (Tower of Hope)" สวนประติมากรรมหินอ่อนที่ให้บรรยากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนเช่นนี้เป็นสิ่งที่หาชมได้ยากมากในประเทศญี่ปุ่น และที่น่าตกใจก็คือ มันสามารถเข้ากับวิวทิวทัศน์ของทะเลเซโตะในได้อย่างเหมาะเจาะดีทีเดียว!

22. วัดเซนโคจิ (Senkoji Temple)

วัดเซนโคจิ สร้างขึ้นในปี 806 เป็นหนึ่งในจุดหมายของ "เส้นทางแสวงบุญชูโกคุ 33 คันนง (Chugoku 33 Kannon Pilgrimage)" ตัววัดและสวนที่อยู่รอบๆ ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้แวะมาเยี่ยมเยือนมากมายด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนาน และวิวพาโนราม่าของโอโนมิจิและท้องทะเลที่อยู่ไกลออกไป เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมที่สุดในย่านโอโนมิจิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูใบไม้ผลิที่ซากุระกว่า 1,500 ต้นจะบานสะพรั่งไปทั่วบริเวณวัด สถานที่แห่งนี้ยังเป็นที่รู้จักในฐานะ "เส้นทางแห่งบทประพันธ์ (Path of Literature)" เพราะมีเส้นทางที่เรียงรายไปด้วยรูปปั้นและหินสลักบทกลอนของกวีในท้องที่ นอกจากนี้ยังมี "พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งเมืองโอโนมิจิ (Onomichi City Museum of Art)" ตั้งอยู่ในบริเวณนี้อีกด้วย

23. เนโกะโนะโฮโซมิจิ (Neko no Hosomichi)

เนโกะโนะโฮโซมิจิ หรือ เส้นทางแห่งแมว เป็นตรอกที่อยู่ระหว่างทางในการไปวัดเซนโคจิ เส้นทางนี้เต็มไปด้วย "ฟุคุอิชิเนโกะ (แมวหินนำโชค)" ในลวดลายแบบต่างๆ ที่เป็นผลงานของศิลปินชื่อชุนจิ โซโนยามะ (Shunji Sonoyama) และยังมีคาเฟ่ บาร์ และร้านบูติกอยู่มากมาย ทุกที่ล้วนเป็นร้านที่ตกแต่งในธีมแมวทั้งสิ้น

หากคุณวางแผนที่จะเดินทางไปยังวัดเซนโคจิหรือสวนของวัด เราขอแนะนำให้ลองแวะมาที่ย่านที่เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งนี้ดูด้วย ที่นี่อยู่ห่างจาก Senkoji Ropeway โดยใช้เวลาเดินเพียงครู่เดียวเท่านั้น

24. คางุระมงเซนโทจิมูระ (Kagura Monzen Tojimura)

คางุระมงเซนโทจิมูระ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันมีเอกลักษณ์ที่ผสมผสานเวทีคางุระ (เวทีที่ใช้ในการแสดงประกอบพิธีกรรมศาสนาชินโต มีการใช้เครื่องแต่งกายสีสันสดใสและดนตรีที่รื่นเริง) เข้ากับออนเซ็น ที่นี่มีวิวบ้านเมืองแบบย้อนยุคดูสวยงาม มีพิพิธภัณฑ์คางุระ ร้านขายของฝาก และเมนูอาหารท้องถิ่นแสนอร่อย

แม้ว่าจะที่นี่ตั้งอยู่ในย่านชนบทแต่ก็มีบริการที่พักค้างคืนอยู่ด้วย หากคุณต้องการสัมผัสประสบการณ์แบบญี่ปุ่นๆ อย่างการสวมชุดยูกาตะ นอนบนฟูกญี่ปุ่นและผ่อนคลายไปกับออนเซ็น เราขอแนะนำให้แวะมาที่นี่ เพื่อเพลิดเพลินไปกับอาหารและวัฒนธรรมชนบทของฮิโรชิม่า!

25. มิโรคุโนะซาโตะ (Miroku no Sato)

หากคุณกำลังมองหาสถานที่สำหรับเที่ยวสนุกกับครอบครัวแบบที่ไม่ต้องมากังวลเรื่องคนเยอะหรือราคาที่แพงหูฉี่ เราขอแนะนำให้ลองแวะไปที่ มิโรคุโนะซาโตะ ธีมปาร์คที่เพียบพร้อมไปด้วยเครื่องเล่นมาตรฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟเหาะหรือชิงช้าสวรรค์ และยังมีสถานที่ท่องเที่ยวเฉพาะฤดูกาลอย่างสระน้ำและสไลเดอร์ในฤดูร้อน รวมถึงการประดับไฟในช่วงคริสต์มาส

หนึ่งกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาที่นี่ คือ การแวะไปรับประทานอาหารกลางวันที่โซนย้อนยุค "อิทสึกะคิตะมิจิ (Itsuka Kita Michi)" ที่จำลองมาจากบรรยากาศบ้านเมืองญี่ปุ่นโบราณยุค 1950 มาให้ชม ที่แห่งนี้ประกอบไปด้วย ห้องเรียน ที่ทำการไปรษณีย์ ร้านขายข้าวของเครื่องใช้ โรงหนัง และร้านอาหารที่เปิดให้บริการอยู่จริงๆ เป็นวิธีสัมผัสประสบการณ์การใช้ชีวิตของชาวญี่ปุ่นในยุคโบราณที่สนุกสนานและน่าจดจำเป็นอย่างยิ่ง

สัมผัสทุกแง่มุมของฮิโรชิม่า!

ไม่ว่าคุณจะอยากไปสำรวจธรรมชาติ นั่งดื่มกับคนในท้องที่ หรือสำรวจประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของพื้นที่ละแวกนี้ จังหวัดฮิโรชิม่าก็มีอะไรให้คุณทำมากมายแน่นอน หากคุณแวะมาเที่ยวในระยะเวลาสั้นๆ คุณก็สามารถไปเยี่ยมชมสถานที่ที่น่าสนใจต่างๆ ได้ หรือหากคุณโชคดีมีเวลาเที่ยวที่นี่หลายๆ วัน คุณก็สามารถเดินทางออกไปนอกตัวเมืองเพื่อสัมผัสกับประสบการณ์แสนสนุกในพื้นที่ชนบทที่เราแนะนำไปข้างต้นได้เช่นกัน ไม่ว่าแพลนเที่ยวของคุณจะเป็นแบบไหน เราก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะมีส่วนช่วยให้การท่องเที่ยวในฮิโรชิม่าของคุณสนุกยิ่งขึ้น!

 

หากมีคำถาม คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา สามารถติดต่อและติดตามเราผ่านทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ได้เลย !

 

(เครดิตภาพทัมเนล: Mirko Kuzmanovic/Shutterstock.com)

มนต์เสน่ห์ชูโกคุ

เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่

รับส่วนลดมากมายในญี่ปุ่น ที่นี่!

เกี่ยวกับนักเขียน

Rebecca
Rebecca
นักเขียนและนักแปลชาวออสเตรเลียที่ปัจจุบันอาศัยอยู่ในเกียวโต มีงานอดิเรกเป็นการเดินทางโดยรถไฟ ร้องคาราโอเกะ และดูหนังสยองขวัญ
  • แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

ค้นหาร้านอาหาร