รวม 30 ที่เที่ยวในญี่ปุ่นยอดนิยมปี 2020 ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์นักเดินทาง

ไม่ว่านี่จะเป็นการไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกหรือครั้งที่สิบของคุณ ก็อดไม่ได้ที่จะมองหาสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ ไปลองสัมผัสใช่มั้ยล่ะคะ เชื่อว่ามีผู้อ่านจำนวนไม่น้อยเลยที่พึ่งพาเว็บไซต์แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง TripAdvisor ในการแพลนทริปเที่ยวแต่ละครั้ง ซึ่งในแต่ละปี TripAdvisor จะทำการวิเคราะห์และจัดอันดับสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เพื่อมาแนะนำให้กับผู้ใช้งาน ในบทความนี้ เราได้รวบรวม 30 แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของญี่ปุ่นที่ได้รับการคัดเลือกและการันตีความชอบโดยนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ใครที่มองหาสถานที่ใหม่ๆ ในญี่ปุ่นให้แวะไปเที่ยวอยู่ เตรียมตัวเพิ่มลิสต์สถานที่ของเราลงในแพลนเที่ยวของคุณได้เลยค่ะ

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

บทความนี้อาจมีลิงก์พาร์ทเนอร์ หากคุณทำการซื้อผ่านลิงก์พาร์ทเนอร์ เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ

อันดับที่ 1 ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Shrine) [เกียวโต]

ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (伏見稲荷大社) เป็นที่รู้จักและโด่งดังจากเซ็มบงโทริอิ (千本鳥居) หรือซุ้มประตูสีแดงแบบญี่ปุ่นกว่าพันต้นที่เรียงรายทอดยาวตลอดเส้นทางเดินอันศักดิ์สิทธิ์ ในทุกปีมีผู้คนมากมายทั้งจากในและต่างประเทศแวะเวียนมาที่ศาลเจ้าแห่งนี้ เพื่อเก็บภาพความประทับใจของซุ้มโทริอิสีแดงสดที่งดงามราวกับเป็นผลงานชิ้นเอก ว่ากันว่าในช่วงฮัตสึโมเดะ (初詣, การเดินทางไปสักการะขอพรในช่วงวันปีใหม่ของญี่ปุ่น) มีผู้มาเยี่ยมเยียนศาลเจ้าฟูชิมิอินาริมากถึง 2,700,000 ล้านคน เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในเกียวโตเทียบไม่น้อยหน้าศาลเจ้าเมจิ (明治神宮, Meiji Shrine) ในโตเกียวเลยทีเดียว 

ไม่ว่าใครที่ได้แวะมาที่ศาลเจ้าแห่งนี้ ก็คงอดรู้สึกฉงนไม่ได้ว่าทำไมที่นี่ถึงได้มีเสาโทริอิมากมายถึงเพียงนี้ ทฤษฎีหนึ่งอธิบายไว้ว่า เป็นเพราะในสมัยก่อนมีแนวคิดว่าการ "เดินผ่าน" ซุ้มประตูโทริอิเหล่านี้จะนำพาให้คำขอ "ผ่าน" ไปถึงเหล่าเทพเจ้าได้ บ้างก็ว่าเสาแต่ละต้นเป็นเหมือนการสักการะแสดงคำขอบคุณต่อเทพเจ้าที่ได้ทำให้คำขอแต่ละข้อกลายเป็นจริงอีกด้วย

เนื่องจากพื้นที่สักการะบูชาของศาลเจ้าครอบคลุมไปทั่วทั้งภูเขาอินาริยามะ (稲荷山, Mount Inari) ด้วยทางเดินที่ทอดยาวกว่า 4 กิโลเมตร และไต่ระดับความสูงขึ้นไปถึง 233 เมตร จึงต้องใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงในการเดินเที่ยวชม ซึ่งภายในพื้นที่ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริแห่งนี้มีทั้งจุดเที่ยวชมและศาลเจ้าเล็กใหญ่ให้แวะสักการะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นศาลเจ้า กันริกิ (眼力社, Ganriki Shrine) ที่ตั้งขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งดวงตา ศาลเจ้าโอเซกิ (おせき社, Oseki Shrine) ที่มีไว้สักการะเทพเจ้าแห่งลำคอ หรือศาลเจ้ายากุริกิ (薬力社, Yakuriki Shrine) ที่ว่ากันว่าจะช่วยปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บให้กับผู้ที่มาสักการะบูชา และยังมีศาลเจ้าที่ให้โชคลาภและพรเกี่ยวกับสุขภาพอีกมากมาย

นอกจากการเดินผ่านเซ็มบงโทริอิ เส้นทางแห่งซุ้มประตูสีแดงแล้ว การมาสัมผัสฟูชิมิอินาริผ่านเส้นทางบนภูเขาที่เรียงรายไปด้วยศาลเจ้ามากมายนั้นก็เป็นความคิดที่ดีไม่น้อย ที่สำคัญ ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริแห่งนี้ไม่มีเวลาปิดทำการ จึงสามารถมาสัมผัสประสบการณ์อันศักดิ์สิทธิ์ที่นี่ได้ตลอดทั้งวัน 

อันดับที่ 2 พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สันติภาพฮิโรชิม่า (Hiroshima Peace Memorial Museum) [ฮิโรชิม่า]

พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สันติภาพฮิโรชิม่า (広島平和記念碑) เป็นพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ในจังหวัดฮิโรชิม่าที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี 1955 พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้คนรุ่นหลังได้รำลึกถึงความเสียหายอย่างมหาศาลจากเหตุการณ์ระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิม่าเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1945 ภายในอาคารมีการจัดแสดงรูปถ่าย เอกสารข้อมูล ไปจนถึงข้าวของเครื่องใช้ของผู้รอดชีวิต ไปจนถึงอนุสาวรีย์รำลึกถึงเหตุการณ์ระเบิดครั้งนั้นจำนวนมาก

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีการจัดแสดงหุ่นที่จัดทำขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหยื่อจากเหตุการณ์ระเบิด และรูปถ่ายของเด็กสาวที่ถูกไฟไหม้ เพื่อถ่ายทอดและเตือนใจผู้มาเยี่ยมชมถึงความโหดร้ายของโศกนาฏกรรมในครั้งนั้น นอกจากนี้แล้ว ภายในยังมีนิทรรศการที่ให้ข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่นำมาสู่การทิ้งระเบิดในครั้งนั้นอีกด้วย

ผู้คนมากมายเดินทางมายังพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เพื่อเรียนรู้ถึงความโหดร้ายทารุณของสงคราม และเพื่อตระหนักได้ว่าความสงบนั้นล้ำค่าเพียงใด แม้ตัวโดมปรมาณูจะถูกล้อมรอบด้วยรั้วและไม่ได้เปิดให้เข้าไปเยี่ยมชม แต่ท่านสามารถรับชมอย่างใกล้ชิดจากบริเวณภายนอกรั้วได้ตลอดเวลา

อันดับที่ 3 เกาะอิทสึคุชิมะ และศาลเจ้าอิทสึคุชิมะ (Itsukushima and Itsukushima Shrine) [ฮิโรชิม่า]

นอกเหนือจากหาดทรายขาวอามาโนะฮาชิดาเตะ (天橋立, Amanohashidate) ในจังหวัดเกียวโต และมัตสึชิมะ (松島, Matsushima) เมืองชายฝั่งในจังหวัดมิยากิแล้ว เกาะอิทสึคุชิมะ (厳島神社) หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่าเกาะมิยาจิม่า ยังเป็น 1 ใน 3 จุดชมวิวที่กล่าวขานกันว่าสวยที่สุดและเป็นดั่งสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่น ที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกอีกด้วย ด้วยความยาวโดยรอบเกาะเพียง 30 กิโลเมตร เกาะอิทสึคุชิมะแห่งนี้เป็นเกาะขนาดเล็กอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ได้รับการนับถือบูชาประหนึ่งเป็นเทพเจ้ามาตั้งแต่สมัยโบราณเลยทีเดียว

ใจกลางเกาะแห่งนี้มีศาลเจ้าอิทสึคุชิมะที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อราว 1,400 ปีก่อน โดยทุกปีมีนักท่องเที่ยวมากมายทั้งจากในและต่างประเทศหลั่งไหลกันเข้ามาเพื่อรับชมทิวทัศน์อันสวยงามของซุ้มประตูโทริอิที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางน้ำ ภาพของโทริอิที่มองดูแล้วราวกับลอยอยู่กลางทะเลเมื่อยามน้ำขึ้นสูงนั้นเป็นที่ตราตรึงในใจของผู้ที่แวะเวียนมาเป็นอย่างยิ่ง

นอกจากจะเพลิดเพลินไปกับภูมิทัศน์อันสวยงามแล้ว นักท่องเที่ยวยังสามารถพบเห็นและเล่นกับกวางบนเกาะได้อย่างเสรี เหมือนกับที่สวนสาธารณะนารา อันเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของจังหวัดนาราอีกด้วย 

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

อันดับที่ 4 วัดโทไดจิ (Todaiji Temple) [นารา]

เสน่ห์ของวัดโทไดจิ (東大寺) อยู่ที่ความใหญ่โตตระการตาของศาลาไดบุตสึเด็น (大仏殿, Daibutsuden Hall) ที่ตั้งตระหง่านอยู่ ณ ใจกลางวัด ด้วยความสูงถึง 15 เมตร จึงได้ชื่อว่าเป็นอาคารไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ที่วัดแห่งนี้มีประติมากรรมไดบุตสึ หรือพระพุทธรูปองค์ใหญ่สำหรับการกราบไหว้บูชาของพุทธศาสนิกชนประดิษฐานอยู่ ระหว่างเส้นทางจากประตูวัดไปสู่ศาลาไดบุตสึเด็น มีซุ้มประตูนันไดมง (南大門, Nandaimon Gate) ที่มีรูปปั้นเทพคงโกริคิชิ (金剛力士, Kongorikishi) คอยยืนอารักขาอยู่ทั้งสองข้างประตู ความยิ่งใหญ่ของรูปปั้นไม้ที่สูงตระหง่านถึง 25 เมตรนี้ สร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนได้อย่างไม่รู้ลืม

วัดโทไดจินั้นตั้งอยู่ในพื้นที่ของสวนสาธารณะนารา (奈良公園, Nara Park) ที่มีความกว้างถึง 5.02 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ทั้งหมดดูแลโดยจังหวัดนาราเอง และเปิดให้เข้าได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย นอกจากตัววัดและสวนสาธารณะแล้ว เสน่ห์อีกหนึ่งอย่างของสถานที่แห่งนี้ก็คือ เหล่ากวางที่อาศัยอยู่ในสวนสาธารณะนารา ที่มักจะเล่นกับนักท่องเที่ยวอย่างเป็นมิตร ปัจจุบันมีกวางในสวนแห่งนี้มากถึง 1,200 ตัว และได้รับการจัดให้เป็นสัตว์สงวนแห่งชาติของญี่ปุ่น

Klook.com

อันดับที่ 5 พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งฮาโกเน่ (The Hakone Open-Air Museum) [คานากาว่า]

ฮาโกเน่ (箱根, Hakone) เป็นสถานที่ที่คุณสามารถเพลิดเพลินไปกับความงดงามของธรรมชาติได้ตลอดทั้งสี่ฤดูกาล พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ได้ใช้ความงามของธรรมชาตินั้น รังสรรค์เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งแรกของประเทศญี่ปุ่นที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี 1969 และพึ่งได้เฉลิมฉลองวันครบรอบ 50 ปี ไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2019 ที่พึ่งผ่านมา

จุดขายสำคัญที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวแวะเวียนมายังพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ คือ นิทรรศการประติมากรรมกลางแจ้ง ที่เปิดให้รับชมในพื้นที่โล่งกว้างภายนอก ภายในสวนสวยสีเขียวชอุ่มขนาด 70,000 ตารางเมตร ที่ถูกโอบล้อมด้วยขุนเขาแห่งเมืองฮาโกเน่นี้ มีผลงานศิลปะร่วมสมัยของช่างแกะสลักยอดฝีมือระดับโลกอย่าง Auguste Rodin, Antoine Bourdelle, Henry Moore, และศิลปินแห่งชาติของญี่ปุ่นอย่าง Taro Okamoto (岡本 太郎) จัดแสดงอยู่รวมถึงกว่า 120 ชิ้น

นอกจากโซนกลางแจ้งแล้ว ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังมีส่วนจัดแสดงผลงานภายในร่มอีกด้วย โดยมีไฮไลท์สำคัญคือ Picasso Pavillion ที่ได้รวบรวมคอลเล็คชั่นงานศิลปะของศิลปินทั่วโลกกว่า 319 ชิ้นมาจัดแสดงโดยพลัดเปลี่ยนกันไป นอกจากนี้ ที่นี่ยังมี ออนเซ็นน้ำพุร้อนและบ่อแช่เท้าภายในอาคาร ที่สามารถมาแวะพักผ่อนคลายได้อย่างเพลิดเพลินใจอีกด้วย

อันดับที่ 6 สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen) [โตเกียว]

สวนชินจูกุเกียวเอ็น (新宿御苑) เดิมถูกสร้างขึ้นในปี 1906 เพื่อเป็นสวนส่วนพระองค์สำหรับราชวงศ์ญี่ปุ่น แต่ปัจจุบัน สวนสไตล์ตะวันตกร่วมสมัยแห่งนี้ นอกจากจะเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจยอดนิยมของชาวโตเกียวแล้ว ยังเป็นหนึ่งในไม่กี่สถานที่ที่ยังคงทิ้งร่องรอยและบรรยากาศของประเทศญี่ปุ่น ในยุคสมัยเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 มาจนถึงปัจจุบันอีกด้วย

สวนชินจูกุเกียวเอ็นที่มีขนาดใหญ่ถึง 583,000 ตารางเมตรและมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 3.5 กิโลเมตรแห่งนี้ ผสมผสานสไตล์การตกแต่งของโลกตะวันตกและความงามดั้งเดิมของญี่ปุ่นไว้อย่างลงตัว ทั้งสไตล์สวนประดิษฐ์ที่นิยมกันในอิตาลีและฝรั่งเศสในช่วงศตวรรษที่ 16 สไตล์สวนภูมิทัศน์แบบอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 18 และสไตล์สวนญี่ปุ่นโบราณ ด้วยทัศนียภาพที่สวยงามของต้นไม้ในสวนกว่า 10,000 ต้น ที่ผลัดใบเปลี่ยนสีสวยตลอดสี่ฤดูกาล ทำให้มีผู้คนหลั่งไหลแวะเวียนกันมามากมายตลอดทั้งปี

นอกจากนี้แล้ว ภายในสวนยังมีอาคารเก่าแก่มากมาย ที่มีความเป็นมาเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ราชวงศ์ญี่ปุ่น ทั้งอาคารสไตล์ตะวันตกเก่าแก่ ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจแก่เชื้อพระวงศ์ และตำหนักไต้หวัน (旧御涼亭, Kyu Goryo Tei) ที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการแต่งงานของจักรพรรดิโชวะ เป็นต้น

อันดับที่ 7 วัดซันจูซันเกนโด (Sanjusangen-do) [เกียวโต]

ซันจูซันเกนโด (三十三間堂) เป็นวัดในศาสนาพุทธที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อราว 1,200 ปีก่อน ซึ่งปัจจุบันได้รับการระบุให้เป็นสมบัติแห่งชาติ นักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมเยือนและสักการะบูชา ต่างต้องตะลึงงันกับบรรดารูปปั้นพระโพธิสัตว์คันนง (観音像, Kannon) กว่า 1,001 องค์ ที่ตั้งเรียงรายอยู่ในโถงใหญ่ โอ่อ่าด้วยความสูง 16 เมตร กว้าง 22 เมตร และทอดยาว 120 เมตรจากทิศเหนือไปยังทิศใต้ นอกจากนี้ อีกไฮไลท์สำคัญของวัดแห่งนี้คือรูปปั้นแกะสลักเทพแห่งลมและสายฟ้า ฟูจิน (風神, Fujin) และไรจิน (雷神, Raijin) ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่เหมาะสำหรับผู้สนใจพระพุทธรูปแกะสลักเป็นอย่างมาก

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

อันดับที่ 8 โอคุโนะอิน โคยะซัง (Okunoin, Mt. Koya) [วาคายาม่า]

โอคุโนะอิน (奥之院) ส่วนที่ลึกสุดของวัดคงโกบุจิ (金剛峯寺, Kongobuji Temple) วัดประธานแห่งนิกายชินกอน ณ ภูเขาโคยะซัง จังหวัดวาคายาม่านั้น นอกจากจะเป็นที่ตั้งของศาลาเคารพ "โคโบ ไดชิ" (弘法大師, Kobo Daishi) พระสงฆ์ผู้ก่อตั้งและผู้นำคนสำคัญของนิกายชินกอนในประเทศญี่ปุ่นแล้ว ยังเป็นเขตพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกด้วย

เส้นทางไปสู่โอคุโนะอินนั้น เริ่มต้นจากการข้ามสะพานอิจิโนะฮาชิ (一の橋, Ichi no Hashi) ไปยังเส้นทางสุสานศักดิ์สิทธิ์ที่ทอดยาวถึง 2 กิโลเมตร ซึ่งใช้เวลาราว 1 ชั่วโมงครึ่งในการเดินไปกลับ ตลอดสองข้างทางนั้นเรียงรายไปด้วยหลุมฝังศพ ป้ายเคารพสักการะผู้ล่วงลับ อนุสาวรีย์หินขนาดเล็กใหญ่ และโคมไฟที่ขับให้บรรยากาศความศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ 

บริเวณนี้มีอนุสาวรีย์หินของขุนพลและนักรบคนสำคัญสมัยเซ็นโกคุ (戦国時代, ยุคสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น) มากมาย อย่างโอดะ โนบุนากะ (織田 信長, Oda Bobunaga) โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ (豊臣 秀吉, Toyotomi Hideyoshi) ทาเคดะ ชินเก็น (武田 信玄, Takeda Shingen) และอุเอสึกิ เค็นชิน (上杉 謙信, Uesugi Kenshin) เป็นต้น

เมื่อพระอาทิตย์คล้อยตกดิน แสงไฟเรืองรองจากโคมไฟที่ประดับประดาเส้นทางสู่โอคุโนะอินแห่งนี้ จะก่อให้เกิดเป็นบรรยากาศลึกลับที่ดูน่าหลงใหล จึงมีนักท่องเที่ยวและผู้มีจิตศรัทธาแวะเวียนมายังสถานที่แห่งนี้ตลอดทั้งช่วงกลางวันและกลางคืนอย่างไม่ขาดสาย 

อันดับที่ 9 ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle) [เฮียวโกะ]

ปราสาทฮิเมจิ (姫路城) ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดเฮียวโกะแห่งนี้ นอกจากจะได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้ว ยังได้รับการคัดเลือกให้อยู่ใน "100 อันดับปราสาทที่มีชื่อเสียงแห่งญี่ปุ่น" ในฐานะสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมทางประวัติศาสตร์อันล้ำค่าอีกด้วย ด้วยลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว และการออกแบบทางยุทโธปกรณ์ที่ใช้ความเชี่ยวชาญอย่างสูง ทำให้ปราสาทแห่งนี้ถูกกล่าวขานกันว่าเป็นสมบัติแห่งชาติที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง

หลังจากถูกสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1609 ปราสาทฮิเมจิได้รับการบูรณะซ่อมแซมอยู่หลายต่อหลายครั้ง เพื่อให้โครงสร้างอาคารยังคงอยู่ในสภาพเดิมดังปัจจุบัน และเนื่องจากผนังอาคารถูกฉาบด้วยปูนสีขาวเนียน ทำให้ปราสาทฮิเมจิมีความงดงามผุดผ่อง เป็นความสง่างามที่ชวนให้นึกถึงภาพของนกกระสาที่เตรียมจะออกโบยบิน เป็นที่มาของชื่อเล่นปราสาทว่า "ปราสาทนกกระสาขาว (白鷺城, "ชิราซากิโจ")" อีกด้วย ตัวอาคารที่ถูกสร้างขึ้นอย่างงดงามและประณีตบรรจงนี้เอง ที่เป็นเสน่ห์คอยดึงดูดให้นักท่องเที่ยวแวะเวียนมายังปราสาทฮิเมจิแห่งนี้อยู่ตลอด

อันดับ 10 วัดคินคะคุจิ (Kinkakuji Temple) [เกียวโต]

วัดโรคุองจิ (鹿苑寺, Rokuonji Temple) หรือที่รู้จักกันอย่างคุ้นชินในชื่อ "วัดคินคะคุจิ (金閣寺)" แห่งนี้ เดิมถูกสร้างขึ้นมาในปี 1397 เพื่อเป็นที่ประทับของโชกุนอาชิคางะ โยชิมิตสึ (Ashikaga Yoshimitsu) ผู้ปกครองแผ่นดินในขณะนั้น นอกจากจะถูกจัดเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของเมืองโบราณเกียวโตแล้ว ยังได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง 

แน่นอนว่าไฮไลท์สำคัญของวัดแห่งนี้ อยู่ที่การนำทองคำมาประดับตกแต่งทั้งด้านในและนอกอาคาร ภาพทิวทัศน์ของวัดคินคะคุจิที่ถูกโอบล้อมด้วยบ่อน้ำใสและไม้พุ่มน้อยใหญ่เรียงสลับกันนั้นโอ่อ่างดงามน่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้แล้ว เสน่ห์อีกอย่างของการมาเยือนวัดทองแห่งนี้ คือความสวยงามที่สลับสับเปลี่ยนไปในแต่ละฤดูกาล จะดอกซากุระที่บานสะพรั่งในฤดูใบไม้ผลิ แมกไม้เขียวชอุ่มในฤดูร้อน ใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ผลิ หรือตัววัดที่แต่งแต้มด้วยหิมะในฤดูหนาว ก็ล้วนสร้างความประทับใจให้แก่ผู้มาเยี่ยมเยียนอย่างไม่รู้ลืม

อันดับที่ 11 สวนเคนโรคุเอ็น (Kenrokuen Garden) [อิชิคาว่า]

นอกจากสวนโคราคุเอ็น (後楽園, Korakuen Garden) ในจังหวัดโอคายาม่า และสวนไคราคุเอ็น (偕楽園, Kairakuen Garden) ในจังหวัดมิโตะแล้ว ก็มีสวนเคนโรคุเอ็น (兼六園, Kenrokuen Garden) แห่งนี้เอง ที่จัดอยู่ในสุดยอด "สามสวนสวย" แห่งประเทศญี่ปุ่น สวนแห่งนี้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นจุดชมวิวสวยระดับประเทศ มีไฮไลท์สำคัญคือโคมไฟหินสองขาโคโทจิโดโร (徽軫灯籠, Kotojidoro) ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของสวนแห่งนี้ ภาพทิวทัศน์ของโคมไฟหินที่สะท้อนบนผิวน้ำ และใบไม้เปลี่ยนสีที่ร่วงหล่นปกคลุมนั้น ประหนึ่งภาพวาดโดยธรรมชาติที่งดงามเหนือคำบรรยาย 

นอกจากนี้ หากมาเยือนสวนโคราคุเอ็นในฤดูหนาว ยังสามารถพบเห็นยูคิสึริ (雪吊り, Yukizuri) หรือการขึงเชือกเพื่อปกป้องกิ่งไม้จากน้ำหนักของหิมะ มีรูปทรงเป็นโครงข่ายสวยงาม อีกทั้งในฤดูใบไม้ผลิ ยังสามารถเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพอันสวยงามของดอกซากุระที่บานสะพรั่ง และแวะพักผ่อนหย่อนใจได้ที่ร้านน้ำชาภายในสวนที่มาพร้อมกับเมนูเฉพาะตัวของที่นี่อีกด้วย

Klook.com

อันดับที่ 12 วัดนาริตะซังชินโชจิ (Naritasan Shinshoji Temple) [ชิบะ]

จังหวัดชิบะนั้นเป็นที่ตั้งของสนามบินนาริตะ ประตูสู่ประเทศญี่ปุ่นที่นักท่องเที่ยวต่างชาติคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี โดยหากนั่งรถไฟออกมาจากตัวสนามบินเพียง 15 นาทีก็จะถึงสถานีนาริตะ และเมื่อเดินอีกต่อประมาณ 10 นาที ภาพของวัดนาริตะซังชินโชจิ (成田山新勝寺, Naritayama Shinshoji) ก็จะปรากฎสู่สายตา ที่นี่มีชื่อเสียงอย่างมากในฐานะวัดศักดิ์สิทธิ์ที่คอยให้สุข ปัดทุกข์ และแก้ชงให้กับผู้ที่มาเยี่ยมเยียน

ทว่าอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญที่พลาดไม่ได้คือ ก็คือเส้นทางก่อนจะมาถึงตัววัดนั่นเอง โดยสองข้างทางถนนนั้นเรียงรายไปด้วยอาคารร้านรวงเก่าแก่ เปี่ยมด้วยมนต์สะกดที่ชวนให้รู้สึกราวกับกำลังเดินอยู่ในเมืองโบราณสมัยเอโดะเมื่อ 400 กว่าปีก่อน ที่นี่มีร้านอาหารและร้านของที่ระลึกมากมาย จะเลือกดื่มด่ำกับมื้ออาหารรสเลิศ หรือแวะชมบรรยากาศเมืองเก่าก่อนไปสนามบิน ก็ดูเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในการปิดท้ายทริปญี่ปุ่นทั้งสิ้น 

อันดับที่ 13 วัดฮาเสะเดระ (Hasedera Temple) [คานากาว่า]

วัดฮาเสะเดระ (長谷寺) เป็นที่ประดิษฐาน "จูอิจิเมนคันนง (十一面観音菩薩像Juichimen Kannon)" หรือเจ้าแม่กวนอิม 11 พักตร์ หนึ่งในงานแกะสลักไม้เจ้าแม่กวนอิมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น โดยหลังจากที่ถูกสร้างขึ้นในปี 736 ความงดงามของเหล่าดอกไม้และพืชพรรณนานาชนิดของวัดแห่งนี้ ทำให้ผู้คนต่างขนานนามชื่อเล่นให้ว่า "ฮานะเดระ (花寺, Hanadera)" หรือวัดแห่งดอกไม้

ว่ากันว่าที่นี่เป็นหนึ่งในจุดชมดอกไฮเดรนเยียที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น แถมยังมีดอกโบตั๋น ดอกกุหลาบพันปี และดอกวิสทีเรียที่สวยงามไม่แพ้กันให้ชื่นชมตลอดทั้งปี โดยผู้มาเยี่ยมชมสามารถเพลิดเพลินไปกับพันธุ์ไม้งาม 40 ชนิด รวมกว่า 2,500 ต้น พลางรับชมทัศนียภาพอันสวยงามของชายหาดยุยกาฮามะ (由比ヶ浜, Yuigahama Beach) ไปพร้อมกันได้อีกด้วย 

วัดฮาเสะเดระในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนั้นสวยงามไม่แพ้กับฤดูร้อนเลย โดยตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป ทางวัดจะมีการจัดงานชมใบไม้เปลี่ยนสีที่เปิดให้ชมเป็นพิเศษในช่วงกลางคืน ให้บรรยากาศสวยงามราวกับต้องมนต์สะกด และนอกจากตัววัดแล้ว หอชมวิวมิฮาราชิได (見晴台, Miharashidai) ที่สามารถชมทิวทัศน์ของตัวเมืองและชายหาดคามาคุระได้ก็เป็นที่นิยมไม่แพ้กัน เส้นทางชมดอกไฮเดรนเยียที่คู่ขนานไปกับอ่าวซากามิ (相模湾, Sagami Bay) นั้น ได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในเส้นทางชมวิวที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นเลยทีเดียว

อันดับที่ 14 สวนสาธารณะนารา (Nara Park) [นารา]

ว่ากันว่าหากคิดจะเที่ยวภูมิภาคคันไซ สวนสาธารณะนารา (奈良公園) นั้นเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่พลาดไม่ได้ โดยสวนแห่งนี้เริ่มเปิดมาตั้งแต่ปี 1880 และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่มีนักท่องเที่ยวทั้งจากในและนอกประเทศแวะเวียนมากว่า 13 ล้านคนต่อปี สวนสาธารณะนารานั้นถูกโอบอุ้มโดยธรรมชาติอันกว้างขวาง มีพื้นที่มากถึง 5.02 ตารางกิโลเมตร ทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ผสมผสานคุณค่าทางประวัติศาสตร์อันยาวนานของเมืองนารา ผ่านวัดสำคัญเก่าแก่ของญี่ปุ่นอย่างวัดโทไดจิและศาลเจ้าคาสุกะไทฉะ (春日大社, Kasuga Taisha Shrine) อีกด้วย

ไฮไลท์สำคัญที่สุดของสวนสาธารณะนาราแห่งนี้ คือบรรดากวางที่อาศัยอยู่ในตัวสวน โดยแบ่งเป็นกวางเพศผู้ 236 ตัว เพศเมีย 715 ตัว และลูกกวางอีก 226 ตัว รวมทั้งสิ้น 1,180 ตัว (ข้อมูลล่าสุดเมื่อปี 2019) แม้จะยังไม่มีเหตุผลชัดเจนว่าทำไมกวางเหล่านี้ถึงมาอาศัยอยู่ที่สวนสาธารณะนารา ทว่ามีเรื่องเล่าตามตำนานเก่าแก่ของญี่ปุ่นว่า เทพทาเคมิคาซึจิ (武甕槌命, Takemikazuchi) ที่สถิตพำนักอยู่ ณ ศาลเจ้าคาสุกะไทฉะนั้น ได้เดินทางมายังเมืองนาราโดยขี่กวางสีขาวมา อีกทั้งในมันโยชู (万葉集, Manyoshu) กวีนิพนธ์เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่นสมัยปี ค.ศ. 750 ยังมีการกล่าวถึงกวางในนั้นอีกด้วย

ภายในสวนมีขนมเซมเบ้สำหรับกวางขายอยู่ นักท่องเที่ยวจึงสามารถมาสัมผัสประสบการณ์ให้อาหารกวางได้ และนอกจากกวางแล้ว หากแวะมาที่นี่ยังมีโอกาสจะได้เจอกับสัตว์ชนิดอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในสวนแห่งนี้ อย่างตัวทานุกิ (แรคคูนญี่ปุ่น) หมูป่า กระรอก และกระรอกบินยักษ์อีกด้วย

นักท่องเที่ยวยังสามารถเพลิดเพลินไปกับแมกไม้นานาชนิดภายในสวนอย่างต้นสน ต้นซากุระ ต้นเมเปิ้ลญี่ปุ่น ต้นยี่เข่ง ต้นศรีทอง ต้นลิลลี่หุบเขา ต้นซีดาร์ ต้นบ๊วย ต้นการบูร ต้นไซเปรสและบรรดาไม้สงวนของภูเขาคาสุกะอีกด้วย เรียกได้ว่าเพียงแวะมาที่สวนสาธารณะนารา ก็สามารถสัมผัสกับบรรยากาศธรรมชาติอันแสนสงบสุขของเมืองนาราได้อย่างครบถ้วนภายในทีเดียว

ข้อขอความร่วมมือในการเล่นกับกวาง: 

● กรุณาอย่าเล่นหยอกล้อกับกวางด้วยการทุบ ตี หรือวิ่งไล่ กวางเป็นสัตว์ป่า หากถูกแหย่อาจมีการโต้ตอบกลับได้ โดยเฉพาะท่านที่พาเด็กเล็กไปเที่ยวกรุณาระมัดวังเป็นพิเศษ
● กรุณาอย่าให้อาหารชนิดอื่นนอกจากขนมเซมเบ้สำหรับกวางที่ขายในบริเวณสวน
● กรุณาให้ขนมเซมเบ้แก่กวางโดยทันที หากแกล้งแหย่หรือเล่นหยอกล้อ เพราะกวางอาจโกรธได้
● กวางอาจเผลอกินขยะของนักท่องเที่ยวและเกิดอาการป่วยได้ จึงขอความร่วมมือกรุณาอย่าทิ้งขยะภายในสวน

อันดับที่ 15 ศาลเจ้านิกโก้โทโชกู (Nikko Toshogu Shrine) [โทชิกิ]

ศาลเจ้านิกโก้โทโชกู (日光東照宮) ถูกสร้างขึ้นเพื่อสักการะ อิเอยาสุ โทคุกาวะ (徳川家康, Ieyasu Tokugawa) ขุนพลในช่วงเซ็นโกคุ ถือเป็นที่ตั้งของอาคารที่มีคุณค่าทางสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์มากมาย โดยมีอาคารที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นสมบัติแห่งชาติ 8 หลัง และมีอาคารที่ถูกจัดให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมมากถึง 34 หลังเลยทีเดียว ในปีค.ศ. 1999 ศาลเจ้าแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นแหล่งมรดกโลก เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญยิ่งทั้งในฐานะที่เป็นแหล่งรวบรวมทรัพย์สินสำคัญทางวัฒนธรรม และในฐานะสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นอีกด้วย 

นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาศึกษางานสถาปัตยกรรมและเทคนิควิธีการประดับตกแต่งอาคารสไตล์ญี่ปุ่นได้ที่นี่ ผ่านโครงสร้างอันวิจิตรบรรจงของอาคารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์ของศาลเจ้าแห่งนี้อย่างซุ้มประตูโยเมมง (陽明門, Yomeimon Gate) ที่ถูกประดับตกแต่งด้วยประติมากรรมและงานแกะสลักสีสันสดใส มีชื่อเล่นว่าเป็นดั่งผลงานศิลปะย่อส่วนที่รวบรวมกลวิธีการตกแต่งแบบญี่ปุ่นไว้อย่างครบถ้วนเลยทีเดียว นอกจากนี้แล้วยังมีซุ้มประตูคารามง (唐門, Karamon Gate) อีกหนึ่งสมบัติแห่งชาติที่ประดับตกแต่งด้วยทองคำเปลว และทาด้วยสีขาวบริสุทธิ์ที่ทำจากเปลือกหอย

อีกหนึ่งเอกลักษณ์ของศาลเจ้าโทโชกูคือผลงานแกะสลักลวดลายสัตว์ต่างๆ มีผลงานชิ้นสำคัญคือ งานแกะสลักลิง 8 ตัวที่ว่ากันว่าเป็นการล้อเลียนเสียดสีชีวิตมนุษย์ และในบรรดาลิงเหล่านั้นเองมีชิ้นงานที่โด่งดังที่สุดเรียกว่า ชินคิวซะ ซันซารุ (神厩舎・三猿, Shinkyusha Sanzaru) หรือรูปแกะสลักลิง 3 ตัวอันเป็นที่มาของสุภาษิตโบราณที่ว่า "ไม่เปิดตารับรู้สิ่งไม่ดี"  “ไม่เปิดหูรับฟังในสิ่งไม่ดี” และ “ไม่เปิดปากกล่าวสิ่งไม่ดี” นั่นเอง

ม้าขาวที่ได้รับการสักการะในฐานะม้าศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้านี้เป็นม้าที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน กล่าวกันว่าบรรพบุรุษของมันถูกใช้ในสงครามเซกิงาฮาระ (関ヶ原の戦い) และเป็นรู้จักในฐานะ "บริวารของเทพ" นอกจากนี้แล้วยังมีผลงานแกะสลักชิ้นอื่นๆ ที่มีความโดดเด่นอย่าง "แมวหลับ" ที่สื่อถึงเทพผู้พิทักษ์ที่แสร้งทำเป็นหลับเพื่อคอยเฝ้าระวังภัยให้กับเจ้าของบ้าน หรืองานแกะสลักนกกระจอกที่สื่อถึงความสงบสุข เมื่อนกกระจอกและแมวหลับมาอยู่เคียงข้างกันแล้ว จึงเกิดเป็นที่มาของสุภาษิตที่ว่า "สงบสุขอย่างที่ว่าแมวหลับได้แม้นกกระจอกจะเต้นอยู่" อีกด้วย 

อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของศาลเจ้าโทโชกูนั้น คืองานเทศกาลที่จัดขึ้นในเดือนพฤษภาคมของทุกปี โดยมีการจัดกิจกรรมต่างๆ มากมาย อย่างประเพณียิงธนูบนหลังม้ายาบุซาเมะ (神事流鏑馬, Yabusame) หรือการแบกโอมิโคชิ (神輿, Omikoshi) ซึ่งสื่อถึงเกี้ยวของเทพเจ้า เป็นต้น นอกจากจะได้ชมประเพณีสำคัญที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว งานเทศกาลนี้ยังเป็นโอกาสดีที่จะได้ลองชิมอาหารท้องถิ่นของนิกโก้อย่างยูบะโซบะ (โซบะและเต้าหู้) ณ ร้านโซบะเก่าแก่ Kishino (きしの) ที่ผสมผสานความอร่อยและประณีตของเส้นโซบะและเต้าหู้ได้อย่างลงตัว และน้ำแข็งไสของร้าน Nikko Chaya (日光茶屋) ที่ใช้น้ำแข็งจากธรรมชาติในการทำ

อันดับที่ 16 สวนชุคเคเอ็น (Shukkeien Garden) [ฮิโรชิม่า]

สวนประวัติศาสตร์ชุคเคเอ็น (縮景園) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1620 แม้จะตั้งอยู่ใจกลางเมืองฮิโรชิม่า ทว่าแมกไม้เขียวชอุ่มภายในสวนสวยแห่งนี้กลับให้ความรู้สึกสงบเงียบ ราวกับมีมนต์สะกดให้ผู้ที่แวะมาเที่ยวชมทั้งจากในและนอกประเทศ หลงลืมความเร่งรีบจอแจของตัวเมืองไปชั่วคราว เมื่อย่างก้าวเข้ามาในตัวสวน เป็นต้องเพลิดเพลินไปกับความงามของธรรมชาติที่โดดเด่นแตกต่างกันไปในสี่ฤดู ทั้งยังสามารถชมที่ชงชาแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมอย่างเซฟุคัง (清風館, Seifu-kan) และเมเก็ตสึเท (名月亭, Meigetsu-tei) ได้อีกด้วย นอกจากนี้ ภายในตัวสวนยังมีร้านน้ำชาที่เสิร์ฟอาหารทานเล่นอย่างอุด้งหรือชาเขียว ให้ผู้เที่ยวชมสวนได้แวะมาหยุดพักผ่อนกันได้อย่างสบายๆ

อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญที่อยู่ติดกันกับสวนชุคเคเอ็นเลยคือพิพิธภัณฑ์ศิลปะจังหวัดฮิโรชิม่า (広島県立美術館, Hiroshima Prefectural Art Museum) ที่ได้รวบรวมผลงานศิลปะที่เกี่ยวข้องกับฮิโรชิม่าในแง่ต่างๆ อย่าง "เครื่องกระเบื้องลายดอกไม้สไตล์คาคิเอมง (伊万里色絵花卉文輪花鉢)" และ "บานพับแห่งอิทสึคุชิมะ (厳島図屏風)" ที่ล้วนแล้วแต่เป็นสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมชิ้นสำคัญมาจัดแสดงไว้มากมาย ทั้งนี้ยังรวมไปถึงผลงานของศิลปินชื่อดัง Salvador Dali อีกด้วย 

อันดับที่ 17 วัดไดโชอิน (Daishoin Head Temple) [ฮิโรชิม่า]

เกาะมิยาจิม่า (宮島) นั้น เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะ 1 ใน 3 จุดท่องเที่ยวที่มีทิวทัศน์สวยงามที่สุดในประเทศญี่ปุ่น นักท่องเที่ยวมากมายข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อได้มาเยือนศาลเจ้าอิทสึคุชิม่า (厳島神社) ทว่าพอได้ยลโฉมซุ้มประตูโทริอิสีแดงที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางน้ำเรียบร้อยแล้วก็พากันกลับ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะภายในตัวเกาะยังมีอีกหนึ่งวัดที่มีความสำคัญอย่างยิ่งซ่อนตัวอยู่ ได้แก่ วัดไดโชอิน (大聖院) ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ เพราะเป็นที่ประดิษฐานของสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นถ้ำเฮนโจคุตสึ (遍照窟, Henjo-kutsu) ที่อยู่ใต้ห้องโถงไดชิโด (大師堂, Daishido Hall) ถ้ำนี้ประดับประดาด้วยโคมไฟมากมายนับไม่ถ้วนที่ว่ากันว่าจะให้โชคลาภแก่ผู้ที่เดินทางมาสักการะบูชา หรือจะเป็น อิจิกังไดชิ (一願大師, Ichigan Daishi) รูปปั้นจิโซญี่ปุ่น (พระพุทธรูปรูปแบบหนึ่ง) ที่จะบันดาลให้คำขอร้องเพียงข้อเดียวของเราสัมฤทธิ์ผล 

นอกจากนี้ยังมี นาเดะโบโทเคะ (撫で仏, Nadebotoke) องค์พระพุทธรูปที่หากเราสัมผัสท่านในตำแหน่งเดียวกันกับที่เรามีอาการเจ็บป่วยทางกายอยู่ เชื่อว่าจะช่วยปัดเป่าอาการป่วยนั้นให้หายไป กุจิคิคิจิโซ (愚痴聞き地蔵, Kuchikiki Jizo) รูปปั้นจิโซที่ช่วยฟังคำบ่นของเรา มิสุคาเคะจิโซ (水掛地蔵, Mizukake Jizo) รูปปั้นจิโซที่มีวิธีการสักการะด้วยการใช้กระบวยตักน้ำขึ้นมาราด เมดาชิดารุมะ (目だしダルマ, Medashi Daruma) ตุ๊กตาดารุมะตาถลนที่แค่สัมผัสโชคลาภก็จะมาเยือน ไปจนถึงเครื่องรางที่เกี่ยวกับการทำอาหารอย่าง ไดสุริโคกิ (大摺粉木, Daisuri-kogi) ไม้บดงาขนาดยักษ์ที่เชื่อว่าหากหมุนครบ 3 รอบ จะช่วยลบล้างบาปและความทุกข์ในจิตใจได้ และมีดทำครัวที่ให้ผู้สักการะบูชาได้ใช้แสดงความขอบคุณแก่มีดที่เคยได้ใช้มาในอดีตอีกด้วย 

นอกจากเครื่องรางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้โชคมากมาย วัดไดโชอินแห่งนี้ยังเป็นที่กล่าวขานถึงความงดงามของใบไม้เปลี่ยนสีในช่วงฤดูใบไม้ผลิอีกด้วย โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคมที่เป็นช่วงงดงามที่สุด ทั้งยังเป็นช่วงที่มีการจัดงานเทศกาล Daishoin Momiji (大聖院もみじ祭り) ประจำปีอีกด้วย

อันดับที่ 18 คาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) [ยามานาชิ]

คาวากุจิโกะ (河口湖) คือทะเลสาบที่ตั้งอยู่บริเวณทางเหนือของภูเขาไฟฟูจิ อันเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นในสายตาของนานาประเทศทั่วโลก การันตีความนิยมจากนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสายในทุกฤดูกาลตลอดทั้งปี โดยคาวากุจิโกะนั้นเป็นหนึ่งในห้าทะเลสาบที่อยู่บริเวณฐานของภูเขาไฟฟูจิ เพราะอยู่ในตำแหน่งความสูงที่ต่ำสุดในบรรดาทะเลสาบทั้งห้า จึงทำให้ภาพสะท้อนของภูเขาไฟฟูจิที่ปรากฎบนผิวน้ำนั้นสวยงามลงตัวยิ่งกว่าทะเลสาบไหนๆ และเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า "ภูเขาไฟฟูจิกลับหัว" ที่ตั้งของคาวากุจิโกะนั้นห่างจากโตเกียวเพียง 2 ชั่วโมง อีกทั้งยังมีออนเซ็นวิวสวยและโรงแรมบริการชั้นเลิศมากมาย จึงทำให้ทะเลสาบแห่งนี้เป็นจุดหมายท่องเที่ยวยอดนิยม ทั้งสำหรับผู้ที่มาเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ และผู้ที่ประสงค์จะมาพักผ่อนหย่อนใจเป็นเวลานานอีกด้วย

ในปี 2013 คาวากุจิโกะได้รับการจดทะเบียนให้เป็นแหล่งมรดกโลกร่วมกับภูเขาไฟฟูจิ เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมถึงขนาดที่ว่า ในปี 2017 มีการบันทึกว่าได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวไปแล้วกว่า 4.5 ล้านคนเลยทีเดียว นอกจากออนเซ็นน้ำพุร้อนบรรยากาศดีแล้ว บริเวณโดยรอบก็ยังมีจุดท่องเที่ยวอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสวนโออิชิ (大石公園, Oishi Park) ที่สามารถเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์งดงามจนแทบลืมหายใจของทะเลสาบและภูเขาไฟฟูจิ พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี Kawaguchiko Music Forest Museum (河口湖オルゴールの森美術館) ที่มีกล่องเพลงนานาชนิดมาจัดแสดง ไปจนถึงสวนสนุกสุดหวาดเสียวอย่าง Fuji Q Highland (富士急ハイランド) อีกด้วย

อันดับที่ 19 ชิราคาวาโกะ (Shirakawago) [กิฟุ]

ชิราคาวะโกะ (白川郷) ตั้งอยู่ในชิราคาวะมูระของจังหวัดกิฟุ มีชื่ออย่างทางการว่า "หมู่บ้านประวัติศาสตร์ชิราคาวาโกะและโกคายามะ (白川郷・五箇山の合掌造り集落)" เป็นหมู่บ้านที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกในปี 1995 ทั้งยังได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวแทนแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศญี่ปุ่น การันตีโดยรางวัลมิชลินสตาร์ 3 ดาวอีกด้วย

ความโดดเด่นไม่เหมือนใครของหมู่บ้านชิราคาวาโกะ คือ กัซโซซึคุริ (合掌造り) สถาปัตยกรรมการสร้างบ้านสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวสืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยหลังคาบ้านแบบกัซโซซึคุรินั้น จะมีรูปทรงเหมือนการนำสองมือมาประสานกันเพื่อภาวนา ตรงตามความหมายของคำว่า "กัซโซ (合掌)" นั่นเอง 

ปริมาณหิมะในช่วงฤดูหนาวของหมู่บ้านชิราคาวาโกะนั้น เป็นที่เลื่องลือกันว่าหนักหนาเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ การสร้างบ้านให้มีหลังคาลาดชันแบบนี้เองแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาของคนญี่ปุ่นในการรับมือและปกป้องตัวบ้านจากความโหดร้ายของธรรมชาติได้เป็นอย่างดี

หากขึ้นไปยังหอชมวิวเทนชูคาคุ (天守閣展望台, Tenshukaku Observatory) จะสามารถชมทิวทัศน์ของหมู่บ้านทรงกัซโซซึคุริที่เรียงรายลดหลั่นกันครอบคลุมพื้นที่นาข้าวสุดลูกหูลูกตา ดื่มด่ำไปกับทัศนียภาพอันงดงาม และบรรยากาศความสงบเงียบที่แฝงมาด้วยกลิ่นอายของญี่ปุ่นดั้งเดิมอย่างเต็มที่

หมู่บ้านแห่งนี้ยังมีอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญ คือ บ้านวาดะ (和田家住宅, Wada House) บ้านเก่าแก่อายุกว่า 300 ปีที่ได้รับการดูแลให้อยู่ในสภาพเดิม และถูกยกย่องให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันสำคัญของญี่ปุ่น ภายในตัวบ้านมีการเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ได้ศึกษาเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน และงานหัตถกรรมหม่อนไหม ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่คอยค้ำจุนหมู่บ้านแห่งนี้เรื่อยมา 

หมู่บ้านชิราคาวาโกะได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ และเส้นทางการเดินทางที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น ช่วยดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั้งจากในและต่างประเทศเข้ามาสัมผัสกับเสน่ห์เฉพาะตัวของหมู่บ้านประวัติศาสตร์แห่งนี้ได้อย่างง่ายดายขึ้นมาก เรียกได้ว่าเป็นหมู่บ้านที่เปี่ยมไปด้วยเอกลักษณ์แห่ง "บ้านเกิดแบบญี่ปุ่น" ที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวมาสัมผัสกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตดั้งเดิมของญี่ปุ่นได้อย่างแท้จริง

อันดับที่ 20 วัดโชฉะซังเอ็นเกียวจิ (Shoshazan Engyoji Temple) [เฮียวโกะ]

วัดโชฉะซังเอ็นเกียวจิ (書寫山圓教寺) ในจังหวัดเฮียวโกะนั้น เป็นหนึ่งในจุดหมายของเส้นทางจาริกแสวงบุญไซโกคุคันนง (西国三十三所, Saigoku Kannon Pilgrimage) โดยในบรรดาวัดแสวงบุญ 33 แห่งทั่วภูมิภาคคิงกิ (近畿地域, Kinki) ในเส้นทางดังกล่าว วัดเอ็นเกียวจินี้เองที่มีขนาดใหญ่โตที่สุด และเป็นหนึ่งในวัดสำคัญของนิกายเทนได (天台宗, Tendai-Shu) อีกทั้งยังเป็นวัดที่มีชื่อเสียงในฐานะเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ฮอลลีวูดชื่อดังอย่าง The Last Samurai อีกด้วย 

ไฮไลท์ของวัดเอ็นเกียวจิแห่งนี้ อยู่ที่อาคารเก่าแก่ 3 หลังภายในตัววัด ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นถึงสมบัติแห่งชาติ ประกอบด้วยจิคิโด (食堂, Jikido) อาคารขนาดใหญ่ 2 ชั้นที่มี 15 ห้องพัก สำหรับให้พระนักปฏิบัติธรรมได้ใช้รับประทานอาหารและพักผ่อน ไดโคะโด (大講堂, Daikodo) อาคารอันเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นพระโคตมพุทธเจ้าขนาบข้างด้วยเทวดา 2 องค์ และโจเกียวโด (常行堂, Jogyodo) อาคารที่ใช้เป็นโรงฝึกตนสำหรับพระสงค์ในสำนัก

ผู้มาเยี่ยมชมวัดเอ็นเกียวจิสามารถแวะมาประทับโกชุอิน (ตราประทับประจำวัดญี่ปุ่น) ได้ที่บริเวณชั้น 1 ของอาคารจิคิโด หรือจะเลือกดื่มด่ำกับบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ของวัดเอ็นเกียวจิ ผ่านทางเดินรอบตัววัดที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้เก่าแก่กว่าร้อยปีก็น่าสนใจไม่น้อย 

อันดับที่ 21 วัดเซนโซจิ (Sensoji Temple) [โตเกียว]

วัดเซนโซจิ (浅草寺) นั้นเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะวัดที่เก่าแก่ที่สุดของกรุงโตเกียว มีไฮไลท์สำคัญที่สุดคือ ประตูสายฟ้าคามินาริมง (雷門, Kaminari-mon) และโคมยักษ์สีแดงอันโดดเด่นที่ตั้งตระหง่าน ณ ใจกลางประตู ได้รับการอารักขาเป็นอย่างดีโดยรูปปั้นเทพคงโกโรคิชิ (金剛力士像, Kongorikishi) ที่ยืนคุ้มกันขนาบทั้ง 2 ข้างของประตู ความสง่างามของประตูทางเข้าอันโอ่อ่าของวัดเซนโซจินี้ ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเก็บภาพความประทับใจอย่างคับคั่งในทุกวัน 

ระหว่างทางเดินไปยังอาคารหลักของวัดนั้น จะพบกับ "นากามิเสะโดริ (仲見世通り, Nakamise-dori)" ถนนช็อปปิ้งเก่าแก่ความยาว 250 เมตร ที่เปี่ยมไปด้วยบรรยากาศของญี่ปุ่นในวันวาน ร้านรวงบนถนนเส้นนี้ล้วนเป็นร้านค้าที่เปิดขายมาอย่างยาวนาน นักท่องเที่ยวสามารถลิ้มลองขนมขึ้นชื่อของอาซากุสะอย่างโดรายากิและขนมนิงเกียวยากิ (人形焼き, Ningyoyaki) ไปพร้อมกับเดินเลือกซื้อของฝากชื่อดัง อย่างขนมข้าวพองคามินาริโอโคชิ (雷おこし, Kaminari-okoshi) ได้อีกด้วย

เมื่อเดินไปจนสุดปลายทางของถนนช็อปปิ้งนากามิเสะโดริ ภาพของผู้คนที่ยืนอาบควันธูปจากกระถางธูปโจโคโระ (常香炉, Jokoro) หน้าอาคารหลักนั้นเป็นภาพที่เห็นได้อย่างชินตา ว่ากันว่าการอาบควันธูปของที่นี่จะช่วยชำระล้าง ทำความสะอาดทั้งร่างกายและจิตใจของเราให้บริสุทธิ์ขึ้นได้ หลังจากรับสิ่งดีๆ เข้าตัวกันไปอย่างเต็มที่แล้ว ลองแวะไปทดสอบดวงชะตาของตัวเองด้วยการเสี่ยงเซียมซีโอมิคุจิ (おみくじ,Omikuji) ก็เป็นความคิดที่น่าสนใจไม่น้อยเลย

อันดับที่ 22 ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Shrine) [โตเกียว]

ศาลเจ้าเมจิ (明治神宮) ที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1920 นี้ ว่ากันว่าให้โชคลาภมากมายนักหนา ทั้งการงานก็จะราบรื่น ความรักก็จะหวานชื่น ไปจนถึงการค้าการขายก็จะรุ่งเรือง ในทุกวันจึงมีผู้มีจิตศรัทธาจากทั้งในและนอกประเทศ แวะเวียนกันเข้ามาสักการะบูชากันอย่างไม่ขาดสาย โดยเฉพาะในช่วงวันปีใหม่ของญี่ปุ่น ศาลเจ้าแห่งนี้มีผู้คนเดินทางมาไหว้พระขอพรเยอะเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ โดยล่าสุดในปี 2018 มีมากถึง 3.2 ล้านคนเลยทีเดียว 

แม้ว่าจะตั้งอยู่ ณ ใจกลางย่านฮาราจูกุ (原宿, Harajuku) ย่านศูนย์กลางเทรนด์แฟชั่นสุดทันสมัย ที่รวบรวมเอาร้านอาหารและร้านเสื้อผ้ายอดนิยมในหมู่คนหนุ่มสาวไว้อย่างคับคั่ง ทว่าเมื่อย่างเท้าเข้าไปในเขตของศาลเจ้าแล้ว ความสงบเงียบและบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ที่หลบซ่อนอยู่ในความจอแจวุ่นวายของฮาราจูกุนั้น นับเป็นเสน่ห์อย่างสำคัญที่สุดของศาลเจ้าเมจิแห่งนี้ นับเป็นโอกาสอันดีสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีความสนใจในสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ แต่ไม่ต้องการเดินทางออกจากเขตเมือง ศาลเจ้าที่คนเมืองหลบหลีกความวุ่นวายในตัวเมืองมาพักผ่อน และนักท่องเที่ยวแวะมาหยุดพักคลายความเมื่อยล้า จึงไม่แปลกเลยที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น "โอเอซิสแห่งเมืองหลวง" 

อันดับที่ 23 หุบเขาชิราทานิอุนซุยเคียว (Shiratani Unsuikyo Ravine) [คาโกชิม่า]

เกาะยาคุชิมะ (屋久島) ที่ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งตอนใต้ของจังหวัดคาโกชิม่านั้น ไม่เพียงแต่เป็นมรดกอันล้ำค่าของประเทศญี่ปุ่น แต่ยังถือเป็นมรดกโลกที่มีความสำคัญเหนือคณานับ โดยแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเกาะแห่งนี้ คือ หุบเขาชิราทานิอุนซุยเคียว (白谷雲水峡) ที่มีต้นซีดาร์ญี่ปุ่น (屋久杉, Yakusigi) พืชหายากที่ได้รับการสงวนไว้ตามกฎหมายเป็นสัญลักษณ์ประจำพื้นที่ ผืนป่าเขียวชอุ่มงดงามที่แฝงด้วยความรู้สึกลึกลับน่าพิศวงแห่งนี้โด่งดังในฐานะที่เคยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ชื่อดังของ Ghibli Studio เรื่อง "เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร" (もののけ姫, Princess Mononoke) ในทุกปีจึงมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาตามรอยมากมาย

ด้วยความที่ผืนป่าครอบคลุมพื้นที่กว่า 90% ของตัวเกาะ จึงมีความอุดมสมบูรณ์และเป็นถิ่นที่อยู่ของพันธุ์ไม้และสัตว์ป่าท้องถิ่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นไผ่ยาคุชิมะ กุหลาบพันปียาคุชิมะ ไปจนถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอย่างกวางยาคุชิมะ ลิงยาคุชิมะ และบรรดานกนานาพันธุ์ เช่น นกกระต้อยยาคุชิมะ นกกระต้อยญี่ปุ่น เป็นต้น เรียกได้ว่าหุบเขาแห่งนี้ เปรียบดังสวนแห่งธรรมชาติที่พระแม่ธรรมชาติได้มอบให้กับมวลมนุษย์เลยก็ว่าได้

วันดับที่ 24 วัดโอตากิเนนบุตสึจิ (Otagi Nenbutsuji) [เกียวโต]

วัดโอตากิเนนบุตสึจิ (愛宕念仏寺) ในเกียวโตนั้น เป็นหนึ่งในจุดชมวิวสำคัญของย่าน Saga Arashiyama (嵯峨・嵐山)  ซึ่งเป็นที่โด่งดังจากความสวยงามของธรรมชาติตลอดสี่ฤดูกาล ไฮไลท์สำคัญของวัดแห่งนี้ คือ บรรดารูปปั้นพระหินที่ตั้งเรียงรายกันกว่า 1,200 รูป เพราะนอกจากจะมีรูปร่างหน้าตาน่ารักราวกับคาแรกเตอร์ตัวการ์ตูนแล้ว ใบหน้าท่าทางที่แตกต่างกันของแต่ละรูปปั้นก็ผสมผสานรวมเป็นเสน่ห์ชวนให้ประทับใจวัดโอตากิเป็นอย่างยิ่ง

ตัวพระอารามหลักของวัดที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 800 ปีนั้น นอกจากจะเป็นสมบัติทางประวัติศาสตร์อันล้ำค่า ที่ได้ถูกบรรจุให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศแล้ว ยังเป็นที่ประดิษฐานเซ็นจูคันนง (千手観音像, Senju Kannon) หรือรูปปั้นพระแม่กวนอิมพันมือ ที่เชื่อว่าช่วยปัดเป่าเภทภัยและโชคร้ายให้กับผู้มาสักการะบูชาอีกด้วย

ทั้งทัศนียภาพอันสวยงามของแมกไม้ที่ผลัดเปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ผลิ และคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่เปี่ยมด้วยมนต์ขลังของวัดโอตากิแห่งนี้ นับเป็นเสน่ห์สำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเป็นจำนวนมากทุกปี

อันดับที่ 25 เจดีย์แดงชูเรโต (Chureito Pagoda) [ยามานาชิ]

เจดีย์แดงชูเรโต (忠霊塔) ที่ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะอาราคุรายามะเซ็นเก็ง (新倉山浅間公園, Arakurayama Sengen Park) จังหวัดยามานาชินั้น เป็นเจดีย์ห้าชั้นที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแด่ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์สงครามปี 1962 พื้นที่ทั้งสวนถูกปกคลุมด้วยต้นซากุระพันธุ์โซเมโยชิโนะกว่า 650 ต้น ภาพทิวทัศน์ของหมู่ดอกซากุระที่ผลิบานเต็มที่ในฤดูใบไม้ผลิ คลอเคลียไปกับความสูงของเจดีย์แดงชูเรโต และวิวของภูเขาไฟฟูจิปรากฎให้เห็นในเบื้องหลังนั้น ผสมผสานเกิดเป็นความงามแบบญี่ปุ่นที่ลงตัว ดึงดูดให้มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลกันเข้ามาเก็บภาพความประทับใจมากมายตลอดปี นอกจากฤดูใบไม้ผลิแล้ว ภาพของเจดีย์สีแดงสดที่ตั้งตระหง่านในแมกไม้สีน้ำตาลอมส้มช่วงฤดูใบไม้ร่วง หรือแซมด้วยหิมะสีขาวนวลในฤดูหนาวก็งดงามไม่แพ้กันเลย

อันดับที่ 26 ตึกสถานีเกียวโต (Kyoto Station Building) [เกียวโต]

ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า ตึกสถานีเกียวโตแห่งนี้ เป็นอาคารที่เชื่อมต่อโดยตรงกับสถานีเกียวโต ประตูสู่เมืองท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของญี่ปุ่น แม้ว่าปกติแล้วนักท่องเที่ยวอาจไม่คาดหวังที่จะเจอสิ่งน่าสนใจจากศูนย์การค้าภายในสถานีรถไฟเสียเท่าไร แต่รับประกันได้ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่เหมือนกับสถานีอื่นๆ แน่นอน เพราะศูนย์การค้าแห่งนี้ได้มีการคัดสรรร้านรวงอันเป็นเอกลักษณ์ของเกียวโตมารวบรวมไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Nakamura Tokichi (中村藤吉本店) ร้านน้ำชาเก่าแก่ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1854 หรือ "ตรอกราเมงเกียวโต (京都拉麵小路, Kyoto Ramen Street)" ที่รวบรวมสุดยอดร้านราเมงยอดนิยมระดับประเทศไว้มากมาย

นักท่องเที่ยวสามารถแวะพักผ่อน ณ โรงแรมหรู Grandvia Kyoto (ホテルグランヴィア京都) ที่ภูมิใจนำเสนอเทปปันยากิรสชาติอร่อยแบบมีระดับและหลากหลายเมนูขึ้นชื่อของเกียวโต แวะชมละครเพลงมิวสิคัลและการแสดงสดที่จัดขึ้นทุกวัน ณ โรงละคร Kyoto Gekijo (京都劇場) หรือแม้กระทั่งเพลิดเพลินไปกับงานศิลปะนานาชนิดที่จัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะ Museum Eki Kyoto (美術館『えき』KYOTO) อีกด้วย เรียกได้ว่าที่นี่เป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่รวบรวมเสน่ห์ของเมืองเกียวโตไว้ได้อย่างครบถ้วนจริงๆ

อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากนักท่องเที่ยว คือ ขั้นบันไดเปลี่ยนสี ณ สถานีเกียวโต ที่ว่ากันว่าเปรียบเหมือนสัญลักษณ์ของตึกสถานีเกียวโตเลยทีเดียว ภาพของขั้นบันไดขนาดใหญ่ที่ถูกประดับประดาด้วยไฟ LED กว่า 15,000 ดวงในยามค่ำคืนนั้น นับว่าเป็นความงดงามที่สะกดทุกสายตาได้อย่างแท้จริง

อันดับที่ 27 ศาลาโฮโอโด วัดเบียวโดอิน (Hoodo Hall, Byodoin Temple) [เกียวโต]

มรดกโลกวัดเบียวโดอิน (平等院鳳凰堂) นั้น ถูกสร้างขึ้นในปี 1053 จากทรัพย์สมบัติของตระกูลฟูจิวาระ ตระกูลขุนนางที่เปี่ยมด้วยอำนาจและอิทธิพลยิ่งใหญ่ต่อประเทศญี่ปุ่นในสมัยนั้น โดยปัจจุบันได้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่เปิดโอกาสให้ผู้มาเยือนได้ลองก้าวเข้ามาสัมผัสวิถีชีวิตอันหรูหราของราชวงศ์ญี่ปุ่นเมื่อกว่า 1,000 ปีก่อน อีกทั้งยังได้รับการยกย่องให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทางประวัติศาสตร์ ถึงขั้นที่ว่าภาพทิวทัศน์ของวัดเบียวโดอินนั้นได้ถูกนำใช้บนธนบัตรและเหรียญของสกุลเงินเยนญี่ปุ่นเลยทีเดียว

ไฮไลท์สำคัญของวัดแห่งนี้ คือกลุ่มอาคารและบรรดาของสะสมที่ได้รับการประกาศให้เป็นสมบัติแห่งชาตินานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นศาลาโฮโอโด (鳳凰堂) ที่เป็นพระอารามหลักของตัววัด พระพุทธรูปอมิตาภะ (阿弥陀如来坐像, Amida Buddha Statue) ที่มีความสูงถึง 2.8 เมตร ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ถ่ายทอดมุมมองทางศาสนาและความงดงามของธรรมชาติในสมัยนั้น ไปจนถึงกลุ่มรูปปั้นพระโพธิสัตว์ล่องเมฆ (雲中供養菩薩像, Praying Bodhisattva on Clouds) กว่า 52 รูปอีกด้วย

นอกเหนือจากเหล่าสมบัติแห่งชาติที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้ว ความสวยงามของสวนเบียวโดอินที่โอบล้อมตัววัดก็เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์สำคัญที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวแวะเวียนมาที่นี่อีกด้วย โดยเฉพาะภาพของศาลาโฮโอโดที่สะท้อนบนผิวน้ำของบ่ออาจิอิเคะ (阿字池, Ajiike) นั้น ก็เป็นหนึ่งในจุดถ่ายรูปสำคัญที่นักท่องเที่ยวพากันแวะเก็บความประทับใจกันเป็นจำนวนมาก

อันดับที่ 28 วัดเอคันโด (Eikando Temple) [เกียวโต]

วัดเอคันโด (永観堂禅林寺) เป็นวัดเอกของพุทธศาสนานิกายโจโดสายเซซันเซนรินจิ (浄土宗西山禅林寺派, Jodo-shu Seizan Senriji) ของประเทศญี่ปุ่น มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันยาวนาน ย้อนไปตั้งแต่สมัยปีค.ศ. 853 เมื่อครั้งที่นักบวชชินโจ (真紹僧都) ศิษย์เอกของโคโบไดชิ (弘法大師, นักบวชคนสำคัญผู้ก่อตั้งนิกายชินกอน) ได้สืบต่อคฤหาสน์ของฟูจิวาระ เซคิโอะ (藤原関雄) เพื่อมาบูรณะและใช้เป็นสถานปฏิบัติธรรม วัดแห่งนี้เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และเป็นแหล่งรวมมรดกทางวัฒนธรรมมากมาย เช่น พระพุทธรูปพระอมิตาภพุทธะเอี้ยวมองหลัง (みかえり阿弥陀, Mikaeri Amida) และภาพแขวนผนังอมิตาภพุทธะยามาโกชิ (絹本着色山越阿弥陀図, Yamagoshi Amida Zu) เป็นต้น

นอกจากนี้แล้ว วัดเอคันโดยังเป็นที่รู้จักในฐานะจุดชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชื่อเสียงของเกียวโตอีกด้วย ทิวทัศน์ของวัดเอคันโดในฤดูใบไม้ผลินั้นงดงามถึงขั้นที่ว่าเคยปรากฎใน "โคคิง วาคะชู" (古今和歌集, Kokin Wakashu) วรรณกรรมชื่อดังของญี่ปุ่นในสมัยเฮอัน (ค.ศ. 794 - 1185) ในบทที่ว่า "หากจะกล่าวถึงฤดูใบไม้ผลิ ย่อมต้องพูดถึงแมกไม้เปลี่ยนสีที่เอคันโด" เรียกได้ว่าความงดงามของวัดเอคันโดท่ามกลางหมู่ใบไม้สีแดงในฤดูใบไม้ผลินั้น เป็นที่กล่าวขานเลื่องลือกันมาตลอดแม้จะผ่านมากว่าพันปีแล้วก็ตาม 

ต้นเมเปิ้ลนับร้อยพันที่โอบล้อมบ่อน้ำใจกลางวัดเอาไว้นั้น ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส จะปรากฎเป็นภาพสะท้อนบนผิวน้ำที่งดงามราวกับภาพวาด และหากขึ้นไปยังด้านบนสุดของเจดีย์สองชั้นทาโฮโต (多宝塔, Tahoto Pagoda) จะสามารถชมทัศนียภาพสีน้ำตาลแดงของต้นเมเปิ้ลที่ปกคลุมวัดเอคันโดจากมุมสูงได้อย่างกว้างขวางและทั่วถึงอีกด้วย

นอกจากจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความสำคัญยิ่งแก่คนญี่ปุ่นเองแล้ว วัดแห่งนี้ก็ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นอย่างมาก ล่าสุดวัดเอคันโดพึ่งได้รับการโหวตให้เป็นจุดชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยที่สุดอันดับ 1 ในญี่ปุ่นอีกด้วย โดยช่วงเวลาในการชมใบไม้เปลี่ยนสีมักเริ่มประมาณปลายเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ชมตอนกลางวันว่าสวยแล้ว เมื่อถูกประดับด้วยไฟไลท์อัพตอนกลางคืนแล้วก็ยิ่งสวยงามน่าประทับใจขึ้นอีกด้วย 

นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมบริเวณสวนหินและห้องโถงบางส่วน ยกเว้นศาลากาเซ็นโด (画仙堂, Gasen-do) ห้องโถงเอคันโด (永観堂会館, Eikando Hall) โรงครัวและโรงอาบน้ำของวัด และอาจมีบางส่วนของวัดที่ปิดไม่ให้เข้าชมตามโอกาสพิเศษของวัดอีกด้วย

อันดับที่ 29 สวนสาธารณะริทสึริน (Ritsurin Garden) [คากาวะ]

สวนสาธารณะริทสึริน (栗林公園) เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นสถานที่ที่มีทัศนียภาพสวยงามเป็นพิเศษ มีพื้นที่กว้างขวางถึง 16.2 เฮกตาร์ ภายในเต็มไปด้วยไฮไลท์สำคัญมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเนินเขาเทียมฮิไรโฮ (飛来峰, Hiraihou Hill) คุเก็ตสึเท (掬月亭, Kikugetsu-tei) โรงน้ำชาเก่าแก่สไตล์ญี่ปุ่น ต้นสนยักษ์เนอาการิโกโยมัตสึ (根上り五葉松, Neagari Goyo-Matsu) ที่มีความสูงกว่า 8 เมตร เรือนชงชาคิวฮิกุราชิเท (旧日暮亭, Kyu Higurashi-tei) ที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1700 และยังคงถ่ายทอดเอกลักษณ์ความเป็นห้องชาญี่ปุ่นดั้งเดิมมาถึงปัจจุบัน และยังมีพิพิธภัณฑ์ศิลปะพื้นบ้านซานุกิ (讃岐民芸館, Sanuki Folk Craft Museum) ที่รวบรวมศิลปะหัตถกรรมและเครื่องมือเครื่องใช้พื้นบ้านของคนสมัยก่อนมาจัดแสดงไว้มากมาย สวนแห่งนี้ถูกจัดให้เป็นสถานที่สวยงามระดับ 3 มิชลินสตาร์ ซึ่งเป็นการจัดอันดับคะแนนระดับสูงที่สุด การันตีได้เลยว่าสวนที่นี่สวยไม่แพ้ที่ใดในโลกเลยจริงๆ 

ความเขียวขจีของภูเขาชิอุน (紫雲山, Mt. Shiun) ที่อยู่เป็นฉากหลัง พร้อมที่ 6 สระน้ำและ 13 เนินเขาที่ถูกสร้างขึ้นให้กระจายตัวอยู่อย่างเป็นระเบียบนั้น ช่วยเสริมให้ทัศนียภาพของสวนริทสึรินงดงามขึ้นเป็นทวีคูณ โดยสวนริทสึรินเป็นสวนสไตล์ไดเมียวที่มีอยู่มานานแล้วถึง 400 ปี จึงเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์อันน่าภาคภูมิใจ สวนแห่งนี้มีการออกแบบที่ลงตัวสวยงาม ทั้งยังมีการจัดวางหินและแมกไม้ที่ดูดีมีรสนิยม รวมกันแล้วเป็นสวนที่ถูกจัดวางไว้อย่างสวยและสง่างามยิ่งนัก ไหนจะหมู่ดอกไม้ที่ผลิบานตามฤดูกาล และต้นสนนับพันต้นที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ทำให้ในทุกย่างก้าวเดินภายในสวนเต็มไปด้วยความงดงามที่แตกต่างกันออกไป สวนริทสึรินนี้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ได้รับการใส่ใจดูแลสืบต่อกันมาตั้งแต่รุ่นสู่รุ่นที่ไม่อาจหาที่ใดมาแทนได้อย่างแท้จริง 

อันดับที่ 30 โตเกียวดิสนีย์ซี (Tokyo Disney Sea) [ชิบะ]

สวนสนุกดิสนีย์แลนด์มีมีธีมเป็นโลกของเวทมนต์ แฟนตาซี และความฝันฉันใด สวนสนุกดีสนีย์ซีก็หยิบยกเรื่องราวของท้องทะเล มาสร้างเป็นโลกแห่งการผจญภัยที่สอดแทรกด้วยความรักและความสนุกฉันนั้น ในขณะที่ดิสนีย์แลนด์นั้นเป็นดินแดนแห่งความฝันอันเป็นจุดหมายสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย เด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ  สวนสนุกดิสนีย์ซีนั้นเต็มไปด้วยเครื่องเล่นสุดระทึกใจสำหรับผู้ใหญ่จำนวนมาก รวมไปถึงโชว์และการแสดงน่าตระการตามากมาย นอกจากนี้แล้ว ดิสนีย์ซียังมีภัตตาคารอาหารดูดีมีรสนิยมจำนวนมาก ที่พร้อมเสิร์ฟเมนูเลิศรสและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ได้เพลิดเพลินจากทั่วทุกมุมโลกอีกด้วย

เครื่องเล่นยอดนิยมของสวนสนุกโตเกียวดิสนีย์ซีมีมากมาย เช่น ทอยสตอรี่มาเนีย (Toy Story Mania) เกมยิงปืนจากภาพยนตร์ชื่อดังของ Pixar เรื่อง Toy Story, เครื่องเล่นรถไฟเหาะสุดระทึกอย่างเซ็นเตอร์ออฟดิเอิร์ธ (Center of the Earth) หรือจะเครื่องเล่นสุดระทึกอย่างทาวเวอร์ออฟเทอเรอร์ (Tower of Terror) ที่จะให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์เหมือนได้ตกตึกจริงๆ ที่จังหวะปล่อยให้ผู้เล่นดิ่งลงนั้นเป็นต้องกรีดร้องจนสุดเสียงแทบทุกราย!

หากมีคำถาม คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา สามารถติดต่อและติดตามเราผ่านทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ได้เลย !

เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่

รับส่วนลดมากมายในญี่ปุ่น ที่นี่!

เกี่ยวกับนักเขียน

Keisuke
Keisuke Tsunekawa
เป็นคนญี่ปุ่นที่ชอบหลีกหนีจากชีวิตในเมืองโตเกียวเป็นครั้งคราว เพื่อค้นพบเส้นทางใหม่ๆ รวมถึงท่องเที่ยวในประเทศอื่นๆ ซึ่งทำให้รู้สึกว่าได้สนุกกับการเชื่อมโยงกับสิ่งที่แตกต่างไปจากที่เคยทำเคยเห็นในชีวิตประจำวัน
  • แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

ค้นหาร้านอาหาร