กว่าจะมาเป็น "บงโกะ" ร้านโอนิกิริสุดปังในโตเกียว! ตามติดชีวิตคุณอุคง ยูมิโกะ เจ้าของร้านโอนิกิริชื่อดัง

ร้าน "โอนิกิริ บงโกะ" (おにぎり ぼんご) ตั้งอยู่ใกล้กับทางออกทิศเหนือของสถานี JR โอทสึกะของสายรถไฟยามาโนเตะ เป็นร้านขายเฉพาะโอนิกิริ (ข้าวปั้น) ที่เปิดทำการมาแล้วกว่า 60 ปี และได้รับความรักจากลูกค้าอย่างล้นหลาม โอนิกิริของร้านนี้ "เยอะ" มากเมื่อเทียบกับโอนิกิริทั่วๆ ไป ทั้งในแง่ของขนาดและจำนวนไส้ที่มีให้เลือกกันมากถึง 56 รูปแบบ หน้าตาก็น่ากิน รสชาติก็เยี่ยมยอด จึงไม่แปลกเลยที่จะดึงดูดลูกค้ามาได้จากทั่วญี่ปุ่น ถึงขั้นที่ในวันธรรมดาบางทีก็มีคนมาต่อแถวตั้งแต่ร้านยังไม่เปิดเลยทีเดียว! วันนี้บทความ "People of Japan" ของพวกเรา tsunagu Japan จะพาคุณไปพบกับคุณอุคง ยูมิโกะ เจ้าของร้านโอนิกิริสุดฮิตแห่งนี้ กว่าจะพาร้านจนประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้คุณอุคงต้องฝ่าฟันอะไรมาบ้าง มาติดตามไปพร้อมกันได้เลย!

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

บทความนี้อาจมีลิงก์พาร์ทเนอร์ หากคุณทำการซื้อผ่านลิงก์พาร์ทเนอร์ เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ

กองบรรณาธิการของพวกเราไปถึงสถานีโอทสึกะท่ามกลางแสงแดดอันอ่อนโยนในยามเช้าของเดือนพฤษภา เมื่อเดินออกจากประตูทางออกทิศเหนือไป 4 นาที ผ่านโรงแรมในเครือโฮชิโนะรีสอร์ทที่เพิ่งเปิดใหม่ OMO5 Tokyo Otsuka ไป เราก็จะพบกับอาคารที่ยังเพิ่งเปิดประตูเหล็กม้วนขึ้นไปเพียงครึ่งหนึ่ง เมื่อมองให้ไปก็จะเห็นป้ายไฟประดับเขียนข้อความต่างๆ เช่น "ข้าวนีงาตะโคชิฮิคาริ" หรือ "โอนิกิริ" ซึ่งที่แห่งนี้ก็คือร้านโอนิกิริที่เปิดทำการในโอทสึกะมากว่า 60 ปี "บงโกะ" นั่นเอง

ร้านโอนิกิริที่ดูเผินๆ เหมือนร้านซูชิ ด้วยโอนิกิริกว่า 56 ไส้

"วันนี้ก็ฝากตัวด้วยนะคะ!" เจ้าของร้านรุ่นที่ 2 คุณอุคง ยูมิโกะ ออกมาต้อนรับพวกเราพร้อมทักทายอย่างร่าเริง เธอเป็นหญิงสาวร่างเล็กที่มาพร้อมกับรอยยิ้มแสนน่ารักและความมั่นใจอันเปี่ยมล้น

ภายในร้านมีที่นั่งแบบเคาน์เตอร์รูปตัว L จัดวางไว้ราวกับอยู่ในร้านซูชิสักแห่ง กั้นจากห้องครัวด้วยฉากใส สามารถมองเข้าไปเห็นบริเวณที่ทำโอนิกิริได้ชัดเจน ผนังบริเวณด้านหลังที่นั่งจะมีเมนูแปะอยู่แน่นขนัด โดยมีให้เห็นตั้งแต่ไส้ทั่วๆ ไปอย่างอุเมะโบชิ แซลมอน หริอเมนไทโกะ ไปจนถึงไส้ที่ทางร้านประยุกต์มาใส่อย่างชีสเบคอนหรือกิมจิหมู รวมแล้วมีถึง 56 ประเภทให้เลือก ราคาเริ่มต้นที่ก้อนละ 300 เยน และสูงสุดที่ 700 เยนสำหรับวัตถุดิบที่ค่อนข้างมีราคา หรือถ้าใครอยากลองทานของนอกเมนูก็สามารถสั่งหลายๆ ไส้ผสมกันได้ด้วย

โอนิกิริของที่นี่มีขนาดใหญ่กว่าโอนิกิริที่ขายในร้านสะดวกซื้อทั่วไปถึง 2 เท่า ไส้ด้านในก็ใส่มาแน่นๆ แบบไม่มีกั๊ก ได้ทานสักก้อนก็อิ่มแปล้แน่นอน นอกจากนี้ยังเป็นโอนิกิริที่มีรูปแบบและเสน่ห์เฉพาะตัว ถึงขั้นที่มีผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกเดินทางมาเพียงเพื่อจะมาเรียนรู้วิธีการทำโอนิกิริของบงโกะเลยทีเดียว

คุณอุคง ทาสุคุ (สามีของคุณอุคง ยูมิโกะ เจ้าของร้านคนปัจจุบัน) เริ่มต้นกิจการร้านบงโกะขึ้นในปี 1960 ในสมัยก่อนนั้นแม้ว่าจะมีการเสิร์ฟโอนิกิริหรือโอชะสึเคะ (ข้าวต้มสไตล์ญี่ปุ่น) เป็นเมนูตบท้ายอยู่บ้างตามร้านอิซากายะ แต่ก็แทบจะไม่มีร้านอาหารที่ขายโอนิกิริเป็นหลักอยู่เลย เมื่อ "บงโกะ" เปิดทำการจึงเป็นที่ฮือฮาอยู่พอสมควร

เจ้าของร้านรุ่นแรกดื่มเหล้าไม่เก่งนัก จึงอยากเปิดร้านที่ลูกค้าทุกเพศทุกวัยสามารถแวะเวียนมาได้อย่างสบายใจ และสิ่งที่ปิ๊งขึ้นมาได้ในตอนนั้นก็คืออาหารที่อยู่เคียงคู่กับคนญี่ปุ่นมายาวนานอย่างโอนิกิริ บงโกะจึงกลายมาเป็นร้านที่เสิร์ฟโอนิกิริในรูปแบบ "เพิ่งทำเสร็จหมาดๆ" เช่นนี้ในที่สุด

คุณเจ้าของร้านรุ่นแรกเคยเป็นมือกลองในวงดนตรีมาก่อน จึงตั้งชื่อร้านจาก "บองโก" ซึ่งเป็นเครื่องเคาะจังหวะของละตินโดยแฝงความหมายว่าอยากให้ชื่อเสียงของร้านก้องกังวานไปได้ไกลเหมือนเสียงกลอง และในวันนี้ที่ร้านเปิดกิจการมาแล้วกว่า 60 ปี บงโกะก็ยังคงได้รับความรักจากลูกค้าทั้งภายในและภายนอกประเทศอย่างล้นหลามไม่เสื่อมคลาย

แน่นอนว่าเสน่ห์ของร้านนี้ไม่ได้มาจากความอร่อยของโอนิกิริเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ลองมาฟังเรื่องราวเบื้องหลังเส้นทางของบงโกะจากปากคุณอุคง ยูมิโกะกันดูดีกว่า!

เธอผู้ไม่อาจทานข้าวในโตเกียว

นับตั้งแต่คุณอุคง ยูมิโกะรับช่วงต่อบงโกะ เวลาก็ผ่านมากว่า 40 แล้ว

คุณอุคงเติบโตขึ้นมาในนีงาตะ ดินแดนแห่งเมล็ดข้าว และเมื่อเรียนจบมัธยมปลายก็ยังคงทำงานอยู่ในบ้านเกิด ทว่าคุณพ่อของคุณอุคงนั้นเข้มงวดมาก คอยตำหนิติเตียนแม้กระทั่งการถือจานชามหรือการถอดรองเท้าของลูกสาว คุณอุคงในวัยแรกรุ่นจึงรู้สึกอึดอัด ตัดสินใจเก็บของจำเป็นเพียงเล็กน้อยติดตัว แล้วออกจากบ้านไปยังโตเกียวเพียงคนเดียวในที่สุด

ไม่รู้ว่าโชคช่วยหรืออย่างไร คุณอุคงจึงสามารถหางานทำที่ร้านกาแฟได้ตั้งแต่มาถึงโตเกียวแรกๆ พร้อมอาศัยเวลาช่วงพักทานข้าวในการสำรวจเมืองไปพลาง และเมื่อได้ทานอาหารในโตเกียวบ่อยเข้า คุณอุคงก็เริ่มรู้ซึ้งว่าข้าวสวยของนีงาตะนั้นสุดยอดขนาดไหน

คุณอุคงทานอาหารฝีมือคุณแม่ซึ่งใช้ข้าวจากบ้านเกิดมาตั้งแต่เด็ก จึงติดนิสัยเลือกกินข้าวมาโดยไม่รู้ตัว ในสมัยนั้นร้านอาหารที่คุณอุคงจะจ่ายเข้าไปทานไหวก็มีไม่มากนัก เมื่อไม่สามารถทำตัวให้ชินกับข้าวสวยของร้านในโตเกียวได้ คุณอุคงจึงหันไปทานขนมปังและราเมงเป็นประจำแทน

หลังจากนั้นโชคชะตาก็พาคุณอุคงไปรู้จักกับเพื่อนจากนีงาตะที่ค่อนข้างจู้จี้ในเรื่องรสชาติของข้าวเหมือนกัน และเธอก็ได้รู้จักกับร้านบงโกะผ่านคำแนะนำของเพื่อนคนนั้นนั่นเอง คุณอุคงเล่าว่าเธอหลงเสน่ห์ของบงโกะตั้งแต่ครั้งแรกที่ไป ทั้งกินโอนิกิริถึง 2 ก้อนในรวดเดียว แล้วยังซื้อกลับบ้านไปอีก 4 ก้อนอีกต่างหาก แถมหลังจากนั้นก็ยังแวะไปเป็นประจำจนสนิทกับพนักงานในร้าน รวมถึงคุณอุคง ทาสุคุผู้เป็นเจ้าของในขณะนั้นด้วย ภายหลังเธอกับคุณเจ้าของไก็ด้กลายเป็นคนรู้ใจกันและแต่งงานกันในที่สุดแม้จะอายุห่างกันถึง 27 ปี จากนั้นมาคุณอุคงจึงเริ่มเข้ามาช่วยล้างจานและทำงานจิปาถะที่บงโกะเป็นครั้งคราว

สานต่อกิจการของสามีที่เสียไป

การสานสัมพันธ์กับผู้ที่หลงใหลในรสชาติของข้าวเหมือนกันทำให้โชคชะตาของคุณอุคงเริ่มผูกเข้ากับบงโกะอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อสามีผู้เป็นเจ้าของร้านล้มป่วยกะทันหัน คุณอุคงซึ่งแต่เดิมเข้าไปช่วยงานเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบร้านทั้งหมดแทน แน่นอนว่าการชอบทานอาหารกับการทำอาหารนั้นเป็นคนละเรื่องกัน สำหรับคุณอุคงในตอนนั้นการต้องมาดูแลร้านอย่างจริงจังจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายเป็นอย่างมาก

คุณอุคงถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องไปยืนทำโอนิกิริต่อหน้าลูกค้าทั้งที่แทบไม่เคยมีเวลาฝึกเลย เธอรู้สึกกดดันมากจนถึงขั้นเครียดลงกระเพาะในสัปดาห์แรก เธอเล่าว่ามีคนบอกว่า "ซุปมิโซะของเธอรสชาติแย่ที่สุดในโลก" ด้วย แม้ว่าจะพยายามขนาดไหนเสียงก่นด่าก็ไม่เคยหายไป คุณอุคงจึงท้อแท้กับงานที่ร้านมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาจนหลายครั้งก็ไม่รู้ตัวเวลาลูกค้าประจำแวะเวียนมาหา

สำหรับแม่ครัวมือใหม่ การจะดำเนินธุรกิจร้านโอนิกิริเป็นเรื่องที่ต้องใช้ทั้งแรงกายและแรงใจอย่างมาก และคุณอุคงก็ต้องกระเสือกกระสนเช่นนั้นอยู่นานถึง 10 ปี พนักงานก็ไม่พอ เวลานอนก็ไม่มี ต้องออกจากบ้านตอนฟ้ายังไม่สางและไม่เคยได้กลับก่อนฟ้ามืด บางทีร่างกายก็รับไม่ไหวถึงขั้นสัปหงกระหว่างปั้นโอนิกิริด้วยซ้ำไป เป็นเส้นทางที่ยากลำบากมากอย่างไม่ต้องสงสัย

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

เส้นทางที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นด้วยความพยายามนับ 10 ปี

แม้จะต้องเผชิญกับความยากลำบาก แต่คุณอุคงทุ่มเทให้กับสิ่งที่ได้รับสืบสานต่อมาอย่างเต็มที่ เธอฝึกปรือฝีมือการปั้นโอนิกิริและการต้อนรับลูกค้ามาตลอด 10 ปี จนในที่สุดก็ทำให้ร้านกลับเข้าสู่สภาวะปกติได้ทีละเล็กละน้อย

เธอปรึกษากับคุณพ่อคุณแม่ และตัดสินใจเปลี่ยนข้าวที่เป็นเหมือนจิตวิญญาณของโอนิกิริมาใช้ข้าวโคชิฮิคาริจากอิวาฟุเนะซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของนีงาตะแทน ข้าวของอิวาฟุเนะจะมีความหวานและความเหนียวเป็นเอกลักษณ์ ด้วยมีทั้งภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสวยตระการตา น้ำที่ใสสะอาด และอุณหภูมิที่ต่างกันมากในช่วงกลางวันกลางคืน เรียกได้ว่ามีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการปลูกข้าวอย่างที่สุด

ด้วยความพยายามอย่างไม่ย่อท้อ ในที่สุดคุณอุคงก็สามารถฟื้นคืนร้านบงโกะขึ้นมาใหม่ได้ในแบบของตัวเอง ตัวตนของคุณอุคงก็เหมือนกับข้าวในโอนิกิริ แม้จะไม่โดดเด่นแต่ก็ขาดไม่ได้ และเพราะไม่โดดเด่นนี่เองจึงสามารถเข้ากับส่วนผสมต่างๆ ได้ดี ความแข็งแกร่งอันอบอุ่นเช่นนี้เองที่เป็นเสาหลักให้กับบงโกะตลอดเวลาที่ผ่านมา

Klook.com

ขายข้าวปั้นอย่างเดียวไม่ได้ ต้องใส่ใจด้วย! เรื่องราวของบงโกะที่มีลูกค้าอยู่ด้วยเสมอ

จะเป็นร้านโอนิกิริได้ก็ต้องมีโอนิกิริที่อร่อย แต่สำหรับคุณอุคงแล้วสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการรู้จักใส่ใจลูกค้าอยู่เสมอ แต่เดิมบงโกะเคยมีเมนูโอนิกิริอยู่ 20 แบบเท่านั้น ที่เพิ่มขึ้นมาจนเป็น 56 แบบได้ก็เพราะทำไส้ขึ้นมาตามความต้องการของลูกค้าทั้งสิ้น เวลาคิดส่วนผสมใหม่ๆ บางทีก็ลองผิดลองถูกกันอยู่เป็นปีๆ เลยทีเดียว

อย่างคุณอุคงเองไม่ชอบทานมายองเนสเท่าไรนัก เวลาทานแซนด์วิชต่างๆ ก็มักจะเลี่ยงแซนด์วิชที่มีมายองเนสเป็นส่วนผสม แต่ครั้งหนึ่งกลับมีคนบอกว่าอยากจะทานโอนิกิริที่ใส่มายองเนสด้วยขึ้นมา เธอจึงเริ่มค้นคว้าหาส่วนผสมที่เหมาะกับมายองเนสเพื่อตอบรับคำขอของลูกค้า ซึ่งเมนูที่คิดค้นขึ้นในตอนนั้นก็เอาชนะใจของผู้คนได้ในที่สุด ปัจจุบันในเมนูจึงมีไส้โอนิกิริที่เข้ากับมายองเนสได้ดีอยู่หลายอย่าง

เมื่อเพิ่มเมนูไปเรื่อยๆ วันหนึ่งก็มีโอนิกิริแปลกๆ อย่างไส้แกงกะหรี่ ไส้เอ็นเนื้อ ไส้เนื้อสับ และไส้มิโซะถั่วลิสงโผล่มาจนได้ คุณอุคงเล่าว่ามีลูกค้าจากต่างเมืองท่านหนึ่งที่จะมาสั่งโอนิกิริ 2 ก้อนไล่ตามลำดับเมนูบนกำแพงทุกครั้งที่ต้องเข้ามาทำงานนอกสถานที่ในโตเกียวด้วย

สำหรับไส้โอนิริออกใหม่ในปี 2022 นี้จะเป็นไส้ "เปปเปรอนชีโน" คงยากที่จะจินตนาการว่ารสชาติของพาสต้ากับโอนิกิริจะเข้ากันได้ยังไง แต่คุณอุคงก็เฉลยให้เราฟังทั้งเสียงหัวเราะ "จริงๆ แล้วเป็นรสที่ฉันชอบน่ะค่ะ" เธอยังบอกต่ออีกว่า "เมื่อก่อนลูกค้าจะชมว่าข้าวของโอนิกิริอร่อยทุกคนเลยค่ะ แต่เดี๋ยวนี้เริ่มมีคนชมว่าไส้มันอร่อยบ้างแล้ว" คุณอุคงคิดว่าลูกค้าจะชอบโอนิกิริที่ข้าวหรือไส้ก็ไม่เป็นไร เพราะสำหรับเธอ การที่พวกเขาได้รับความพึงพอใจกลับไปต่างหากที่สำคัญที่สุด

รสชาติของบงโกะไม่ได้เป็นที่นิยมเพียงในประเทศเท่านั้น แต่ยังมีชื่อเสียงโด่งดังไปถึงต่างประเทศด้วย เห็นว่าก่อนหน้านี้เคยมีนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ตามรอยมาทานโอนิกิริที่ร้าน และยกนิ้วโป้งบอกว่า "อร่อยมาก!" เป็นภาษาญี่ปุ่นแบบตะกุกตะกัก เป็นเรื่องที่คุณอุคงยังคงจำแม่นมาจนถึงทุกวันนี้เลยทีเดียว เธอบอกว่าสิ่งที่ช่วยเติมพลังให้เธอก็คือการได้เห็นลูกค้าทานโอนิกิริอย่างเอร็ดอร่อยนี่เอง

เมื่อเข็มนาฬิกาเริ่มชี้ใกล้เวลา 11 โมง เราจะเริ่มมองเห็นผู้คนมาต่อแถวอยู่หน้าประตูเหล็กม้วนที่เปิดครึ่งอยู่ คุณอุคงก้มตัวลอดประตูออกไปทักทายลูกค้า และกลับมาพร้อมบอกกับคนอื่นๆ ว่า "วันนี้ร้อนมากเลย เดี๋ยวจะให้ลูกค้าเข้ามาตั้งแต่ 11:20 น. เลยนะคะ!" แสดงให้เห็นว่าเธอใส่ใจลูกค้ามากขนาดไหน

พนักงานของบงโกะทุกคนจะต้อนรับลูกค้าอย่างอบอุ่นเสมอ ร้านนี้จึงได้รับความรักจากผู้คนมาตลอด 60 ปี ตั้งแต่รุ่นคุณปู่คุณย่า คุณพ่อคุณแม่ มาจนถึงรุ่นหลาน และในปัจจุบันลูกค้ารุ่นที่ 4 ก็เริ่มถือกำเนิดขึ้นแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างคุณอุคงและลูกค้าเช่นนี้เองที่ทำให้กิจการของบงโกะยังคงดำเนินต่อไป

รสชาติของโอนิกิริที่ปั้นเสร็จใหม่ๆ

การสัมภาษณ์จบลงเพียงเท่านี้ และต่อไปก็คือเวลาของการชิม! บงโกะจะรับออเดอร์จากลูกค้าก่อนแล้วค่อยเริ่มทำโอนิกิริ เราจึงสามารถนั่งดูพนักงานปั้นโอนิกิริกันได้แบบเต็มตา

โอนิกิริที่เสร็จแล้วจะมีขนาดประมาณฝ่ามือและหนักประมาณหนึ่ง คุณอุคงเตือนเราว่า "ถ้าไม่รีบทานข้าวปั้นจะแตกเอานะคะ!" พวกเราจึงรีบถ่ายรูปกันคนละแชะสองแชะแล้วหยิบอาหารตรงหน้าเข้าปากทันที

สิ่งที่คุณจะได้สัมผัสก่อนเลยเมื่อกัดเข้าไปคำแรกก็คือความหนุบหนับของข้าว และไม่ว่าจะเริ่มทานจากตรงไหนก็จะมีไส้มาช่วยเติมเต็มรสชาติในปากเสมอ ไส้ที่เราลองในครั้งนี้มีไส้พื้นฐานอย่างแซลมอนสึจิโกะ (แซลมอนและไข่ปลาแซลมอน), เนื้อสับไข่แดง (ไข่แดงหมักซีอิ๊วและเนื้อสับ) และเมนไทโกะมาโยครีมชีส ไม่ว่าจะอันไหนก็อร่อยจนแสงออกปากทั้งนั้น!

โลกภายนอกร้านโอนิกิริ

ที่ผ่านมาคุณอุคงใช้ชีวิตอยู่กับร้านบงโกะมาโดยตลอด แต่ช่วงหลังมาก็เริ่มคิดว่าควรจะมีเวลาพักผ่อนบ้าง จึงปรับมาปิดร้านวันอาทิตย์จากเดิมที่เปิดทุกวัน

คุณอุคงเริ่มเรียนกลองไทโกะในช่วงวันหยุด ซึ่งนอกจากจะช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าจากการทำงานต่อกันเป็นเวลานานแล้ว ยังทำให้เธอได้เข้าไปสัมผัสกับสังคมใหม่ๆ ด้วย รู้ตัวอีกทีก็เล่นกลองไทโกะมา 7 - 8 ปีได้แล้ว "ขนาดคิดว่าวันนี้เหนื่อยจัง ไม่อยากไปเลย กลายเป็นว่าพอไปแล้วร่าเริงขึ้นซะงั้นน่ะค่ะ" ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังจัดกิจกรรมอื่นๆ เช่น เปิดห้องเรียนสอนเด็กๆ ปั้นโอนิกิริร่วมกับพนักงานในวันคริสต์มาสด้วย

ยิ่งก้าวออกมาดูโลกภายนอกร้าน คุณอุคงก็ยิ่งรู้สึกว่าชีวิตของเธอมีสีสันมากขึ้น พลังงานที่เปี่ยมล้นเช่นนี้เองที่ทำให้คุณอุคงดูมีชีวิตชีวาอยู่ตลอดเวลา

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

ในฐานะผู้สืบสานวัฒนธรรมโอนิกิริของญี่ปุ่น

คุณอุคงบอกว่าเคยคิดจะเกษียนตัวเองเมื่ออายุ 70 แต่เมื่อเวลานั้นมาถึงจริง ๆ ในปี 2022 ที่ผ่านมานี้ เธอกลับตั้งใจว่าจะยังคงทำงานที่ร้านต่อไป ตอนที่สามีล้มป่วย เธอก็คิดจะสานต่อร้านเพียงเพราะเรื่องเงินเท่านั้น แต่ในตอนนี้ที่ได้ก้าวผ่านอุปสรรคจนร้านดำเนินต่อไปได้และได้รู้จักกับใบหน้าอันมีความสุขของลูกค้า สิ่งเหล่านี้ก็ได้กลายเป็นความสุขของเธอไปแล้ว นอกจากนี้เธอยังเริ่มมีความคิดจะช่วยเหลือสังคมโดยใช้ร้านบงโกะเป็นสื่อกลางด้วย

คุณอุคงไม่ได้แค่อยากให้ทุกคนรู้จักรสชาติของบงโกะเท่านั้น แต่อยากเผยแพร่วัฒนธรรมโอนิกิริของญี่ปุ่นไปพร้อมกันด้วย เธอยินดีที่จะถ่ายทอดประสบการณ์และความชำนาญให้กับผู้คนที่ต้องการจะเรียนรู้วิธีการทำโอนิกิริอร่อยๆ เห็นว่ามีลูกศิษย์คนหนึ่งที่ไปเปิดร้านโอนิกิริอยู่ที่ประเทศเยอรมนีด้วย หากสามารถทำให้ผู้คนในต่างประเทศคุ้นเคยกับโอนิกิริมากขึ้นได้ก็คงวิเศษมากทีเดียว

"ไม่แน่ต่อไปเวลาคนต่างชาติพูดถึงโอนิกิริ อาจจะเรียกมันว่าบงโกะแทนก็ได้นะคะ!" คุณอุคงพูดเช่นนั้นพร้อมกับเสียงหัวเราะ

เมื่อถึงเวลา 11:20 น. ลูกค้าที่ยืนรออยู่ด้านนอกก็เริ่มทยอยเข้ามาในร้าน คุณอุคงเองก็ต้อนรับลูกค้าอย่างกระฉับกระเฉง มองไปแล้วก็รู้สึกได้ว่าคงเป็นตัวตนของคุณอุคงนี่เองช่วยสื่อสารความเป็นของบงโกะไปยังหัวใจของลูกค้าแต่ละคนๆ เสมอมา

มนต์เสน่ห์คันโต

เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่

รับส่วนลดมากมายในญี่ปุ่น ที่นี่!

เกี่ยวกับนักเขียน

Fuchi
Fuchi Pan
เกิดที่ไต้หวัน ปัจจุบันอาศัยอยู่ในญี่ปุ่น ใฝ่ฝันที่จะใช้ชีวิตโดยห้อมล้อมไปด้วยภาชนะแฮนด์เมดและสิ่งที่ชื่นชอบ
  • แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

ค้นหาร้านอาหาร