[แพลนเที่ยวคิวชู 3 วัน] พาลุยที่เที่ยวลับในนางาซากิ ซากะ และฟูกุโอกะ เที่ยวง่ายด้วยบัสและรถไฟ

หลายคนอาจมีภาพว่าถ้าเที่ยวภูมิภาคคิวชูจะต้องขับรถเท่านั้น แต่แน่นอนว่าไม่ใช่เลย! ในบทความนี้เราจะพาคุณไปชมทิวทัศน์สวยๆ ใน 3 จังหวัดใหญ่ของคิวชู ทั้งชายฝั่งแสนสวยและอาหารทะเลแสนอร่อยของนางาซากิ เมืองเซรามิกดั้งเดิมของซากะ และศาลเจ้า Dazaifu แสนงามของฟูกุโอกะ โดยไม่ต้องใช้รถเช่าเลยแม้แต่วินาทีเดียว!

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

บทความนี้อาจมีลิงก์พาร์ทเนอร์ หากคุณทำการซื้อผ่านลิงก์พาร์ทเนอร์ เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ

[วันที่ 2] ซากะ - เที่ยว 3 หมู่บ้านเซรามิก

วันแรกในคิวชูของเราหมดไปกับสายลมและแสงแดดของทะเลและชายหาด ส่วนในวันที่สองนี้เราก็จะมุ่งหน้าลึกเข้าไปยังส่วนในของจังหวัดซากะ เที่ยวที่เที่ยวลับ เปิดอีกหนึ่งประสบการณ์ในคิวชูผ่านป่าเขาลี้ลับที่ถูกปกคลุมด้วยหมอก สีสันของฤดูใบไม้ร่วง และหมู่บ้านเซรามิกเก่าแก่หลายร้อยปี

ศาลเจ้า Tozan - ศาลเจ้าแห่ง Arita ที่สร้างด้วยเซรามิก

เมื่อลงรถไฟที่ Arita เราก็จะสังเกตได้ทันทีว่าทิวทัศน์รอบด้านดูเปลี่ยนไปมาก ทั้งๆที่เดินทางออกมาเพียงไม่กี่กิโลเมตร ที่นี่รายล้อมไปด้วยเทือกเขาสีเขียวเข้มที่มีหมอกปกคลุมให้ความรู้สึกลึกลับน่าค้นหา Arita เป็น 1 ใน 3 หมู่บ้านในจังหวัดซากะที่มีชื่อเสียงในด้านเซรามิก และยังเป็นแหล่งผลิตเครื่องปั้นแหล่งใหญ่ของประเทศญี่ปุ่นด้วย

แต่ในเชิงประวัติศาสตร์ สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือการที่หมู่บ้าน Arita เป็นที่แรกในญี่ปุ่นที่เริ่มผลิตเซรามิกเมื่อ kaolin (แร่ที่จำเป็นในการทำเครื่องเคลือบต่างๆ) ถูกค้นพบที่หมู่บ้านในสมัยเอโดะ ลักษณะที่โดดเด่นที่สุดของเซรามิกจากหมู่บ้านนี้จะเป็นดีไซน์ที่ใช้สีฟ้าและสีขาว แต่ก็มีแบบที่แปลกๆ ที่ใช้ทั้งสีทอง สีแดง สีฟ้า และสีขาวในการวาดลวดลายเช่นกัน

วัฒนธรรมเครื่องเคลือบฝังรากลึกอยู่ในหมู่บ้าน Arita ถึงขนาดที่ว่าไม่ใช่เพียงถ้วยชามของใช้เท่านั้นที่เป็นเซรามิก แต่ของตกแต่งบ้านและศาลเจ้าก็เป็นเซรามิกด้วย ทำให้ภาพในหมู่บ้านออกมาค่อนข้างแปลกตา

ศาลเจ้า Tozan (Tozan Shrine) ก็เป็นตัวอย่างที่ดีทีเดียว ด้วยไม่ว่าจะโทริอิ, โคมไฟ, ema (ป้ายเขียนคำอธิษฐาน) หรือ komainu (สิงโตเฝ้าประตูศาลเจ้า) ก็ล้วนแต่ทำจากเซรามิกของ Arita ทั้งนั้น

ตัวศาลเจ้าตั้งอยู่เหนือบันไดหิน มีต้นแปะก๊วยขนาดยักษ์เป็นยามเฝ้าประตู เราไปเที่ยวในช่วงที่ฤดูใบไม้ร่วงกำลังมาเยือนพอดี ป่าแถวนั้นจึงมีทั้งใบแปะก๊วยสีทองอร่ามและเมเปิลสีแดงเพลิงปลิวไสว เมื่อขึ้นไปจนถึงอาคารหลักที่จุดสูงสุดของศาลเจ้า เราก็จะได้เห็นทิวทัศน์สวยๆ ของหมู่บ้านที่ล้อมกรอบด้วยประตูเซรามิกศักดิ์สิทธิ์ที่แสนเปราะบางโดยมีเทือกเขาเป็นพื้นหลัง ทุกอย่างช่างสวยงามลงตัวจนไม่อยากจะเดินออกจากที่นี่เลยทีเดียว

Tombai Walls - เมืองจากเซรามิกเหลือใช้ และอิฐทนไฟจากเตาหลอมเซรามิกเก่า

เมื่อออกจากศาลเจ้า Tozan เดินเตร็ดเตร่ผ่านอาคารเซรามิกและร้านขายเซรามิกที่เรียงรายตามทาง เราก็จะมาถึงโซน Tombai Walls หรือกำแพง Tombai ที่แสดงให้เห็นถึงความรักในเซรามิกของหมู่บ้าน Arita มากยิ่งขึ้นไปอีก

บริเวณนี้ของหมู่บ้านสร้างขึ้นด้วยเศษเซรามิกและอิฐทนไฟของเตาหลอมที่ไม่ได้ใช้แล้วจึงให้ความรู้สึกแตกต่างออกไป อาจจะดูไม่เนี้ยบเท่าที่เราเคยได้เห็นในจุดอื่น แต่ก็มีสีเอิร์ธโทนกลมกลืนกับธรรมชาติรอบด้านเป็นจุดเด่นแทน

ในบริเวณนี้จะมีกำแพง Tombai สร้างเป็นแนวยาวตามขอบเขตของบ้านเรือน วัด และอาคารไม้ แต่งแต้มด้วยสีสันของดอกไม้ป่าเล็กๆ ที่เติมโตตามมุมถนน กำแพงนี้สร้างยาวไปจนถึงริมแม่น้ำใกล้ๆ อาบแสงแดดอ่อนๆ ในชั่วโมงแรกของยามเช้า จากที่นั่นเรายังมีโอกาสเห็นช่างฝีมือคนเก่งนั่งขัดเงาผลงานเซรามิกชิ้นใหม่อยู่ในสวนหลังบ้านได้ด้วย

Gallery Arita - ทานอาหารญี่ปุ่นดั้งเดิมด้วยภาชนะเซรามิกของ Arita

หลังเดินเหนื่อยๆ กันมาทั้งเช้าก็ได้เวลาของมื้อเที่ยงก่อนเวลา และแน่นอนว่าถ้าพูดถึง Arita ก็ต้องเป็นร้านอาหารอร่อยๆ ที่รายล้อมด้วยเซรามิกสวยๆ อยู่แล้ว!

Gallery Arita มีถ้วยชาและถ้วยกาแฟเครื่องเคลือบของ Arita กว่า 2,000 ถ้วย จัดแสดงอยู่ในร้าน เจ้าของคาเฟ่แห่งนี้หลงใหลในการเก็บสะสมถ้วยเหล่านี้เป็นอย่างมาก และงานแต่ละชิ้นแต่ละชิ้นก็ล้วนเป็นชิ้นส่วนของวัฒนธรรมของ Arita และบางชิ้นก็เป็นถึงผลงานของช่างฝีมือญี่ปุ่นชื่อดังเลยด้วย

จุดเด่นที่สุดของ Gallery Arita ก็คือเราจะได้ลิ้มลองอาหารอร่อยโดยใช้ภาชนะของ Arita ในทุกๆ จาน ไม่ว่าจะเป็นถ้วยซุป Yaki Kare (แกงกะหรี่กับชีสเผาไฟและเนื้อวัวท้องถิ่น) จานใส่เต้าหู้ลายดอกไม้ หรือแม้กระทั่งจานของอาหารที่เล็กที่สุดก็ล้วนแล้วแต่เป็นเซรามิกของ Arita ทั้งสิ้น

ยิ่งถูกรายล้อมด้วยถ้วยสีสันสดใสและจานลวดลายสวยๆ ยิ่งรู้สึกว่าได้สัมผัสกับความสวยงามและความโดดเด่นของต้นกำเนิดเครื่องเคลือบของญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้นไปอีก

จากนั้นก็มาถึงเวลาของกาแฟและของหวาน ที่ Gallery Arita ไม่ว่าจะสั่งเครื่องดื่มร้อนเมนูไหน คุณสามารถเลือกถ้วยที่มีอยู่ในร้านได้ตามใจชอบเพื่อให้ทางร้านนำมาเสิร์ฟ ในครั้งนี้ เราเลือกถ้วยที่ดูเป็นแนว Arita ที่สุด วาดลวดลายด้วยสีทอง สีแดง และสีครามอย่างสวยงาม

คาเฟ่แห่งนี้อยู่ห่างจากสถานีรถไฟที่จะนำเราไปสู่หมู่บ้านเซรามิกแห่งต่อไป Okawachiyama เพียง 10 นาทีเท่านั้น จึงสามารถนั่งจิบกาแฟชิลๆ ได้ไม่ต้องรีบร้อน

Imari’s Ceramic Village, Okawachiyama - หนึ่งในที่สันโดษที่สุดในญี่ปุ่น

ถ้าลองค้นหา Okawachiyama คุณจะพบมันก็ต่อเมื่อตั้งใจหามากๆ เท่านั้น เมืองนี้เป็นเพียงจุดเล็กๆ กึ่งกลางระหว่างภูเขาสูงชัน แต่ทำไมแหล่งผลิตเครื่องเคลือบชื่อดังถึงไปอยู่ลึกระหว่างภูเขาขนาดนั้นล่ะ?

ถ้าใครกำลังคิดว่า Okawachiyama อยากซ่อนตัวจากสายตาผู้คน เราก็ขอบอกเลยว่าคุณคิดถูกแล้ว เซรามิกเป็นสิ่งที่มีค่ามากในสมัยเอโดะ และยิ่งเป็นประเภทที่ผลิตใน Imari ก็ยิ่งมีค่ามากขึ้นไปอีก ตระกูลนาเบชิมะ (Nabeshima) ซึ่งปกครองซากะในสมัยนั้นจึงตัดสินใจซ่อนหมู่บ้านแห่งนี้ไว้ท่ามกลางหุบเขาซึ่งยากต่อการค้นหาและได้รับการป้องกันอย่างดี

Okawachiyama เร้นกายจากสายตาผู้คนอยู่หลายศตวรรษ และกลิ่นอายลึกลับก็ยังคงลอยอบอวลอยู่เช่นเดิมด้วยทัศนียภาพที่ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักแม้จะผ่านมาหลายร้อยปี เทือกเขาที่ปกคลุมด้วยป่าทึบหนาอยู่ใกล้กับหมู่บ้านมากจนดูเหมือนกับจะกลืนกินอาคารเก่าแก่สักแห่งลงไปได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะยืนอยู่ส่วนไหนของหมู่บ้านก็จะรู้สึกเหมือนมียอดเขาบดบังเส้นขอบฟ้าอยู่เสมอ

ศูนย์กลางของหมู่บ้านเป็นเขาวงกตที่ประกอบด้วยทางเดินแคบๆ ห้องทำงานปั้น และปล่องไฟสูงของเตาไฟเก่า เราสามารถมองเห็นเซรามิกได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นของตกแต่งบนถนน กำแพง สะพาน หรือว่าป้ายบอกทางต่างๆ หากมองลอดหน้าต่างร้านรวงเข้าไปก็จะมีโอกาสได้พบกับเซรามิกท้องถิ่นซึ่งสีสันลวดลายคล้ายกับ Arita แต่จะลงสีให้หนากว่า เป็นหมู่บ้านที่น่าใช้เวลาเดินสำรวจอย่างผ่อนคลายมากเลยทีเดียว

เราอาจจะไม่ได้อยู่ที่ Okawachiyama นานมากนัก แต่ก็ได้ความทรงจำสุดประทับใจกลับไปเต็มเปี่ยม ขณะออกจากที่นี่เราก็นึกไปแล้วว่าเมื่อไหร่จะได้มาชมงานฝีมือสุดอลังการของที่นี่ได้อีก

Karatsu - เมืองที่ผสมผสานวัฒนธรรมซามูไรและเซรามิกเข้าด้วยกัน

เพื่อไปยัง Karatsu ซึ่งเป็นหมู่บ้านเซรามิกแห่งสุดท้ายของซากะ เราจะต้องขึ้นรถไฟเล็กๆ ไปอีกต่อหนึ่ง โดยขนาดแล้ว ที่นี่อาจควรเรียกว่าเมืองมากกว่าหมู่บ้าน และเป็นที่แรกนับตั้งแต่เราก้าวเข้ามาในคิวชูที่เราจะได้เห็นร้านสะดวกซื้อเชนดัง 

แม้ว่าจะมีหลายบริเวณที่พัฒนาให้ทันสมัยแล้วปะปนอยู่กับส่วนที่เป็นของดั้งเดิม ก็ไม่ได้ทำให้เสน่ห์ของ Karatsu ลดน้อยลงเลย ตัวหมู่บ้านเคยเป็นเมืองปราสาทในสมัยเอโดะ ทั้งยังเคยเป็นศูนย์กลางการทำเหมืองถ่านในสมัยเมจิและสมัยไทโชด้วย ในบริเวณนี้จึงมีแลนด์มาร์คทางประวัติศาสตร์มากมายให้ได้เยี่ยมชม

Karatsu มีทัศนียภาพสวยๆ ให้ชมหลายแห่ง ตั้งแต่ที่อยู่อาศัยเก่าอย่างบ้านของตระกูลทาคาโทริ (Former Takatori Residence) หรือบ้านของตระกูลโอชิมะ (Former Oshima Residence, โชกุนในสมัยเมจิ) ไปจนถึงปราสาท Karatsu อันโอ่อ่าที่หันออกสู่ทะเล ตัวปราสาทสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล จึงสามารถถ่ายภาพได้จากหลายมุม และในช่วงพระอาทิตย์ตกดินก็จะมองไปเห็นอ่าวถูกย้อมด้วยสีที่สดใสอบอุ่นอีกด้วย

ที่เที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ของที่นี่น่าตื่นตาตื่นใจมากจนหลายคนอาจจะลืมไปว่า Karatsu คือเมืองเซรามิก แน่นอนว่าเครื่องปั้นของที่นี่ก็โดดเด่นไม่แพ้ที่ไหน เราสังเกตเห็นร้านเครื่องปั้นน่ารักๆ ที่ตีนปราสาทก็ตอนที่กลับลงมาจากตัวปราสาทแล้ว ยังดีที่เจ้าของร้านผู้เป็นช่างฝีมือยินดีจะให้เราเข้าชมและอธิบายเกี่ยวกับเซรามิกของ Karatsu ให้ฟังแม้จะมืดค่ำแล้ว เมื่อได้ชมเซรามิกสวยๆ และควักกระเป๋าซื้อติดไม้ติดมือกลับไปสักหน่อยก็ออกเดินทางต่อเพื่อไปทานอาหารเย็นกันได้อย่างสบายใจ

เมื่อพูดถึงมื้อเย็นใน Karatsu ก็แน่นอนว่าต้องเป็นเนื้อแสนอร่อยและชื่อดังของซากะ เชฟของร้าน Steak House Caravan ชื่นชอบการรับลูกค้าต่างชาติมาก ทั้งยังรักการท่องเที่ยวเสียด้วย จึงให้การต้อนรับเราอย่างอบอุ่น เชฟท่านนี้ได้ให้เราลิ้มลองอาหารท้องถิ่นที่หลากหลาย และตระเตรียมเนื้อซากะให้ในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ชาบูชาบู สเต็ก ไปจนถึงซูชิ

เชฟของเราแสดงเทคนิคการทำ teppan (อาหารญี่ปุ่นที่ทำให้สุกโดยผัดบนกระทะแผ่นเหล็ก) ทั้งการตัด การพลิกเนื้อ หรือแม้แต่การจุดไฟอย่างอลังการด้วยสาเก และพัดให้ดับอย่างรวดเร็วราวกับการแสดง เป็นทั้งอาหารตาและอาหารที่เติมเต็มท้องเลยทีเดียว เมื่อทานกันจนอิ่มและคุยเล่นกับเชฟจนพอใจก็ได้เวลากลับที่พักเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางในเช้าตรู่วันต่อไป

มนต์เสน่ห์คิวชู
เช่ารถได้ในราคาที่คุณต้องการ รถเช่า หากคุณต้องการเช่ารถในญี่ปุ่น ต้องที่นี่เลย! ดูข้อมูลเพิ่มเติม

เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่

รับส่วนลดมากมายในญี่ปุ่น ที่นี่!

เกี่ยวกับนักเขียน

Stefania
Stefania Sabia
เกิดและโตในอิตาลี ช่วง 10 ขวบได้ใช้ชีวิตอยู่ในไอร์แลนด์ ปัจจุบันอาศัยอยู่ในโตเกียว ชอบการสำรวจสถานที่ลับๆ หรือสถานที่ที่มีความเป็นญี่ปุ่น รวมถึงสิ่งที่สัมผัสได้ถึงความงามแบบย้อนยุค เนื่องจากชอบวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาตั้งแต่วัยเด็ก หลังจากย้ายมาอยู่ญี่ปุ่นจึงออกสำรวจญี่ปุ่น และตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเผยแพร่ความสวยงามเหล่านั้นผ่านทางอินสตาแกรม
  • แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

ค้นหาร้านอาหาร