【คู่มือเที่ยวเกียวโตฉบับสมบูรณ์! 2020】รวมที่เที่ยว กิน ช็อป ที่พัก การเดินทาง เทศกาล และสภาพอากาศ

เกียวโต เมืองยอดนิยมที่เต็มไปด้วยอาหารอร่อย แหล่งช็อปปิ้ง และจุดท่องเที่ยวชื่อดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็น 'ฮิกาชิยามะ' ย่านที่ตั้งของวัดและศาลเจ้าชื่อดังอย่างวัดคิโยมิสึและศาลเจ้ายาซากะ 'อาราชิยามะ' ที่มีความสวยงามของธรรมชาติอย่างสะพานโทเก็ตสึและป่าไผ่ หรือ 'ฟูชิมิ' ที่เรียงรายไปด้วยโรงกลั่นสาเกและเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ ศาลเจ้าที่โด่งดังจากเสาโทริอิสีแดงนับพัน นอกจากนี้แล้วเกียวโต เมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นแห่งนี้ก็ยังเต็มไปด้วยวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าที่สืบทอดมาแต่โบราณอีก ตั้งแต่สถาปัตยกรรมที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างวัดและศาลเจ้า ร้านอาหารญี่ปุ่นที่เปิดกิจการมาอย่างยาวนาน ศิลปะการชงชา ศิลปะการจัดดอกไม้ ศิลปะการเขียนพู่กัน ไปจนถึงหัตถกรรมพื้นบ้านอย่าง 'การย้อมผ้าแบบเกียวยูเซ็น' ที่สืบทอดมาตั้งแต่ยุคเก็นโรคุ (ปี 1688 - 1707) 'เกียวยากิ・เกียวมิซุยากิ' เครื่องปั้นดินเผาที่เป็นตัวแทนของเกียวโต และ 'สิ่งทอนิชิจิน' ในบทความนี้ นอกจากข้อมูลเกี่ยวกับจุดท่องเที่ยว เมนูเด็ด และแหล่งช็อปปิ้งที่ไม่ควรพลาดแล้ว เรายังนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการเข้าพักในเกียวโต อาทิ งานเทศกาล ที่พัก สภาพอากาศ และการเดินทางไว้อีกด้วย มาบุ๊กมาร์คไกด์นี้และนำมันไปเป็นผู้ช่วยในทริปเที่ยวญี่ปุ่นของคุณกันเถอะ

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

บทความนี้อาจมีลิงก์พาร์ทเนอร์ หากคุณทำการซื้อผ่านลิงก์พาร์ทเนอร์ เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ

เกี่ยวกับเกียวโต

เกียวโต (Kyoto) เป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคตะวันตกของญี่ปุ่นที่เรียกว่า 'คันไซ' ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ใช้เวลาเดินทางโดยรถไฟจากโตเกียวประมาณ 2 ชั่วโมงและจากโอซาก้าประมาณ 30 นาที ประชากรในจังหวัดนี้มีอยู่ประมาณ 2,500,000 คน เป็นจังหวัดที่ได้รับความนิยมจากแหล่งท่องเที่ยวจำนวนมากที่สามารถสัมผัสได้ถึงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น

ก่อนที่จะมีการย้ายเมืองหลวงไปที่โตเกียว ซึ่งเป็นเมืองหลวงในปัจจุบัน เกียวโตเคยมีฐานะเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นมาก่อน โดยมีจุดเริ่มต้นในปีค.ศ. 794 เมื่อจักรพรรดิกันมุ (Emperor Kammu) องค์จักรพรรดิในช่วงเวลานั้นได้ประกาศย้ายเมืองหลวงมาอยู่ในตำแหน่งที่เป็นเขตเมืองเกียวโตในปัจจุบัน การย้ายเมืองหลวงครั้งนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวถูกเรียกว่า 'เฮอันเกียว (Heiankyo)' และรุ่งเรืองในฐานะเมืองหลวงมากว่า 1,000 ปี

ด้วยพื้นหลังทางประวัติศาสตร์เช่นนี้ จึงส่งผลให้เกียวโตมีวัด ศาลเจ้า สถาปัตยกรรมทางประวัติศาสตร์ ศิลปะและหัตถกรรมพื้นบ้านอันมีเอกลักษณ์ เกิดและพัฒนาขึ้นเป็นจำนวนมาก จนได้กลายมาเป็นวัฒนธรรมและทิวทัศน์เมืองเกียวโตที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวดังที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้

ละแวก 'ฮิกาชิยามะ (Higashiyama)' ที่อยู่ในบริเวณฝั่งตะวันออกของตัวเมืองเกียวโต และ 'อาราชิยามะ (Arashiyama)' ที่อยู่ในฝั่งตะวันตกนั้นเรียงรายไปด้วยวัดและศาลเจ้าที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน รวมไปถึงร้านค้าเก่าแก่ที่เปิดกิจการมาแล้วเกินกว่า 100 ปี คงไว้ซึ่งวิวทิวทัศน์ที่ให้บรรยากาศเหมือนกับสมัยก่อน

นอกจากนี้ก็ยังมีสถานที่ที่คุณสามารถเพลิดเพลินไปกับประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ และผ่อนคลายจิตใจอยู่อีกมากมาย เช่น 'ฟูชิมิ (Fushimi)' หนึ่งในสามแหล่งผลิตสาเกที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น  'อุจิ (Uji)' ที่มีชาอุจิเป็นของฝากชื่อดัง  'มิยามะ (Miyama)' ที่ตั้งของคายาบุกิโนะซาโตะ (Kayabuki no Sato) หมู่บ้านที่ยังคงไว้ซึ่งทิวทัศน์ทุ่งหญ้าแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม และ 'อามาโนะฮาชิดาเตะ (Amanohashidate)' หนึ่งในสามวิวทิวทัศน์ที่โด่งดังที่สุดของญี่ปุ่น  อีกทั้งยังมี 'คาวาระมาจิ (Kawaramachi)' ย่านการค้าที่เหมาะกับทั้งการเที่ยวกินและช็อปปิ้ง และ 'กิออน (Gion)' อันเป็นแหล่งรวมตัวของเหล่าเกอิชาและไมโกะ (เกอิชาฝึกหัด)

ตำแหน่งที่ตั้ง

จังหวัดเกียวโตตั้งอยู่ในภูมิภาคฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่นที่เรียกว่า 'คันไซ' โดยฝั่งเหนือเชื่อมต่ออยู่กับทะเลญี่ปุ่น

ภูมิอากาศของเกียวโต

ภูมิอากาศและปริมาณน้ำฝน

ตัวเมืองเกียวโตซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวรวมตัวกันอยู่มากกว่าส่วนอื่นๆ ของจังหวัดนั้นมีลักษณะภูมิประเทศเป็นแอ่งกระทะที่ล้อมรอบด้วยเหล่าภูเขาสูงเกือบ 1,000 เมตร ซึ่งประกอบไปด้วยภูเขาทางตะวันออก (Higashiyama) ภูเขาทางเหนือ (Kitayama) และภูเขาทางตะวันตก (Nishiyama)  มีภูมิอากาศเหมือนกับในภูมิภาคเซโตะอุจิ กล่าวคือมีฝนตกเยอะในฤดูร้อนและมีฝนน้อยในฤดูหนาว แต่เนื่องจากถูกล้อมรอบด้วยภูเขาจากสามทิศ จึงมีอุณหภูมิสูงสุดและต่ำสุดต่างกันค่อนข้างมากเหมือนภูมิอากาศในพื้นที่ที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลด้วย นอกจากนี้เนื่องจากมีภูมิประเทศแบบแอ่งกระทะจึงมีลักษณะเด่นอีกอย่างหนึ่งคือมีลมไม่แรง

บ่อยครั้งที่ในฤดูร้อน ที่นี่จะมีอุณหภูมิสูงถึง 35℃ ทั้งยังมีความชื้นสูง เกิดเป็นอากาศที่ร้อนชื้น คุณจึงควรเตรียมตัวรับมือไว้ด้วยหากจะมาเกียวโตในฤดูนี้ อีกทั้งฤดูหนาวของเกียวโตก็ยังหนาวถึงขนาดที่มีคำกล่าวว่า 'หนาวสะท้านถึงทรวงใน' ความหนาวเหน็บนี้จะยิ่งทวีคูณขึ้นเมื่อคุณต้องเจอกับโครงสร้างที่อ่อนไหวต่ออากาศเย็นในวัดและศาลเจ้า ไม่ว่าจะเป็นประตูบานเลื่อนหรือพื้นที่ปูด้วยไม้ เพราะฉะนั้นควรเตรียมรับมือกับมันไว้ให้ดี

จุดท่องเที่ยวหลักๆ ของเกียวโต

เกียวโตมีสถานที่ที่น่าสนใจมากมายที่เกิดจากการผสมผสานกันระหว่างวัฒนธรรมเก่ากับใหม่ ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยากรรมและบ้านเมืองที่สัมผัสได้ถึงประวัติศาสตร์ ธรรมชาติที่สวยงามละเอียดอ่อน หรือร้านค้าและสิ่งก่อสร้างในสไตล์ญี่ปุ่นสมัยใหม่ ในส่วนนี้เราจะขอนำเสนอสถานที่ที่ควรไปให้ได้สักครั้งหากมีโอกาสได้มาเยือนเกียวโต

1. สัมผัสประวัติศาสตร์ - ฮิกาชิยามะ・กิออน

'ฮิกาชิยามะ' เป็นศูนย์กลางของเขตฮิกาชิยามะ ซึ่งอยู่บริเวณฝั่งตะวันออกของตัวเมืองเกียวโต เป็นละแวกที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ของเกียวโต และเป็นศูนย์รวมของวัดและศาลเจ้าชื่อดังมากมาย เช่น วัดคิโยมิสึ (Kiyomizu) ที่โด่งดังจาก 'คิโยมิสึโนะบุไต (Kiyomizu no Butai)' ชั้นลอยที่สร้างขึ้นยื่นออกไปจากเนินเขา  'วัดเคนนินจิ (Kenninji)' วัดนิกายเซ็นที่เก่าแก่ที่สุดของเกียวโต  'ศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka)' สถานที่จัดเทศกาล 'กิออนมัตสึริ (Gion Matsuri)' หนึ่งในสามเทศกาลที่โด่งดังที่สุดของญี่ปุ่น 

นอกจากนี้ก็ยังมีสถานที่ที่สัมผัสได้ถึงความเป็นเกียวโตอย่าง 'นิเนซากะ (Ninezaka)' 'ซันเนซากะ (Sannezaka)' และ 'ฮานามิโคจิ (Hanamikoji)' ซึ่งเป็นทางเดินปูด้วยหินที่สองข้างทางเรียงรายไปด้วยร้านของฝากและร้านอาหารเครื่องดื่ม คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวไม่เว้นแต่ละวัน และเนื่องจากแถวนี้มีโรงฝึกเกอิชา สถานที่ที่เหล่าไมโกะใช้ฝึกร้องเพลงและการเต้นรำอยู่เช่นกัน หากโชคดีคุณอาจได้พบกับไมโกะตัวจริงๆ เลยก็ได้

2. ชมธรรมชาติอันงดงาม:อาราชิยามะ

สำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศแบบญี่ปุ่นพร้อมกับธรรมชาติของสี่ฤดูกาล เราขอแนะนำ 'อาราชิยามะ' ซึ่งตั้งอยู่ในฝั่งตะวันตกของเมืองเกียวโต เป็นพื้นที่ที่ได้รับการระบุให้เป็นแลนด์มาร์คทางประวัติศาสตร์ที่สวยงามของญี่ปุ่น ในฤดูใบไม้ผลิจะมีซากุระ ส่วนฤดูใบไม้ร่วงจะมีใบไม้เปลี่ยนสีแต่งแต้มสีสันให้กับเนินเขา ที่นี่มีทั้ง 'สะพานโทเก็ตสึ (Toketsukyo)' ที่ทอดข้ามแม่น้ำคัตสึระกาวะ แม่น้ำที่ไหลผ่านใจกลางของอาราชิยามะ และ 'ชิคุรินโนะโคมิจิ (Chikurin no Komichi)' ทางเดินยาวประมาณ 400 เมตรที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไผ่ ซึ่งล้วนแต่เป็นสัญลักษณ์ของอาราชิยามะที่ทำให้ผู้ที่มาเยี่ยมเยือนต้องหลงเสน่ห์ทั้งสิ้น

ที่อาราชิยามะยังมีกิจกรรมและจุดท่องเที่ยวที่ผสมผสานความสวยงามตามธรรมชาติกับวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเอาไว้ด้วย เช่น 'วัดเท็นริวจิ (Tenryuji)' ที่มีสวนแบบวนรอบบ่อน้ำที่มีภูเขาอาราชิยามะเป็นวิวพื้นหลัง  'รถไฟซากาโนะ (Sagano Torokko Ressha)' รถไฟชมทิวทัศน์ที่วิ่งจากสถานีซากาโนะไปยังสถานีคาเมะโอกะ (Kameoka) และ 'โฮสุกาวะคุดาริ (Hozugawakudari)' กิจกรรมล่องเรือลงแก่งเขาสุดหวาดเสียว ระยะทางกว่า 16 กิโลเมตรจากคาเมะโอกะไปยังอาราชิยามะ

3. เพลิดเพลินไปกับการช็อปปิ้งและอาหารการกิน:คาวาระมาจิ

'คาวาระมาจิ (Kawaramachi) ' ย่านการค้าแห่งเดียวของเกียวโต เป็นที่ตั้งของร้านอาหารและแหล่งช็อปปิ้งมากมาย รวมไปถึง 'ตลาดนิชิกิ (Nishiki Market)' ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1,300 ปีและเต็มไปด้วยร้านค้ากว่า 130 ร้านเรียงรายอยู่ในโดมทรงโค้งยาวกว่า 390 เมตร ที่นี่มีวัตถุดิบและอาหารปรุงเสร็จจำหน่ายอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นปลาสดใหม่ ผักเกียวโต เต้าหู้ ยูบะ (หนังเต้าหู้) และของดองเกียวโต จนเป็นที่คุ้นเคยกันจากทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวในฐานะ 'ครัวของเกียวโต'

นอกจากนี้ บริเวณฝั่งตะวันตกของแม่น้ำคาโมะกาวะที่อยู่ห่างกันไม่มากนั้นก็เป็นที่ตั้งของ 'ปอนโตะโจ (Pontocho)'  ถนนนักชิม ซึ่งมีบ้านไม้แบบเกียวโตและร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นเรียงรายอยู่บนถนนสายเล็กๆ ที่ปูด้วยหิน เมื่อตกกลางคืนจะมีการจุดโคมไฟรูปนกชิโดริ ก่อให้เกิดเป็นบรรยากาศที่น่าหลงใหลยิ่งขึ้นไปอีก

ย่านคาวาระมาจิถือได้ว่าเป็นย่านที่เรียงรายไปด้วยร้านค้าอย่างร้านของฝาก ร้านอาหาร รวมไปถึงเกมเซ็นเตอร์และจุดน่าสนใจใหม่ๆ มากมายที่คุณสามารถเพลิดเพลินได้ทั้งกับการกิน ช็อป และเที่ยว

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

เมนูเด็ดของเกียวโต

เกียวโต เมืองที่ฝังลึกไปด้วยวัฒนธรรมการให้ความสำคัญและอยู่ร่วมกับธรรมชาติ อาหารเกียวโตมักทำขึ้นโดยใช้วัตถุดิบตามฤดูกาล มีขั้นตอนการทำที่ใช้เวลาและความเอาใจใส่มากเป็นพิเศษ ทำให้เกียวโตเป็นแหล่งรวมตัวของร้านชื่อดังที่มีอาหารคุณภาพสูง

ร้านอาหารญี่ปุ่นเก่าแก่ส่วนใหญ่มักจะเป็นร้านที่ต้องทำการจองก่อนล่วงหน้า โดยเฉพาะในย่านกิออน (Gion) ที่ตั้งของร้านหรูหลายร้านที่มีมื้อค่ำราคาสูงกว่า 10,000 เยนต่อคนเลยทีเดียว เป็นย่านที่แม้แต่ในสายตาคนญี่ปุ่นเองก็ถูกมองว่ามีความเป็นทางการค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม หากเป็นกรณีของมื้อกลางวัน คุณสามารถหาทานอาหารเกียวโตที่ร้านชื่อดังเหล่านี้ได้ในราคาประมาณ 3,000 - 7,000 เยนต่อคน

ของกินชื่อดังของเกียวโตได้แก่ 'ยูโดฟุ (Yudofu)' เมนูที่นำเต้าหู้ไปต้มในน้ำซุปสาหร่ายแล้วจิ้มทานกับซอสโซยุ 'ยูบะ (Yuba)' เต้าหู้แผ่นบางที่ทำขึ้นโดยนำเต้าหู้จากนมถั่วเหลืองไปให้ความร้อนและลอกส่วนผิวหน้าออกมา 'ซาบะซูชิ (Sabazushi)' ซูชิทรงกระบอกที่นำปลาซาบะมาโรยเกลือและหมักเข้ากับน้ำส้มสายชู นอกจากนี้ก็ยังมี 'โอะบันไซ (Obanzai)' เมนูเครื่องเคียงแบบบ้านๆ ของเกียวโตที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเมนูเด็ดที่ควรลองทานให้ได้สักครั้งเมื่อมาเกียวโต

นอกจากนี้ หากมาเกียวโตแล้ว 'มัทฉะ' ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ไม่ว่าจะดื่มคู่กับขนมญี่ปุ่น หรือทานเป็นขนมหวานจำพวกพาร์เฟ่ต์ ซอฟต์ครีม และขนมอบ มัทฉะที่ผลิตขึ้นในเมืองอุจิ (Uji) ของเกียวโตนั้นจัดว่าเป็นผลิตภัณฑ์ชาของญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก เรียกได้ว่าทั่วทั้งเกียวโตมีร้านค้ามากมายที่จำหน่ายมัทฉะอุจิในรูปแบบต่างๆ ให้คุณได้ลองทาน 

นอกเหนือจากมัทฉะแล้ว 'ยัทสึฮาชิ (Yatsuhashi)' ขนมอบกรอบรูปขิมญี่ปุ่นที่ทำขึ้นจากแป้งข้าวเหนียวนึ่ง น้ำตาล และอบเชย  และ 'นามะยัทสึฮาชิ (Nama Yatsuhashi)' ยาสึฮาชิที่ไม่นำไปอบแต่จะพับครึ่งแล้วสอดไส้ด้วยไส้ถั่ว ก็นับว่าเป็นขนมชื่อดังอันดับต้นๆ ของเกียวโตเช่นกัน

แหล่งของกินหลักๆ ของเกียวโตประกอบไปด้วย 'ปอนโตะโจ (Pontocho)' ย่านร้านเหล้าที่ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำคาโมะกาวะ (ถนนซันโจโดริถึงถนนชิโจโดริ)  'ตลาดนิชิกิ (Nishiki Market)' ที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบสดใหม่และของกินที่หาได้เฉพาะในเกียวโต  'กิออน' ที่เรียงรายไปด้วยร้านอาหารญี่ปุ่นสุดหรูและร้านของหวาน  'สถานีเกียวโต' ที่มีร้านอาหารจำนวนมากรวมตัวกันอยู่ในย่านการค้าชั้นใต้ดิน แม้ว่าร้านส่วนใหญ่ในเมืองจะเปิดให้บริการจนถึงมืดค่ำ แต่ในกรณีของย่านท่องเที่ยวอย่างอาราชิยามะ ฮิกาชิยามะ อุจิ และฟูชิมินั้น มีร้านจำนวนมากที่ปิดให้บริการตั้งแต่หัวค่ำ จึงควรตรวจสอบให้ดีก่อนทุกครั้ง

หากคุณไม่รู้จะทานอะไรดี ก็ลองไปชมลิสต์ร้านอาหารและคาเฟ่ยอดนิยมที่ขึ้นชื่อด้านรสชาติความอร่อยที่เราคัดสรรมาให้ดูได้เลย

 

Klook.com

แหล่งช็อปปิ้งของเกียวโต

ในเกียวโต ลักษณะเด่นของสินค้าที่วางขายจะแตกต่างกันไปตามพื้นที่อย่างเห็นได้ชัด หากต้องการช็อปปิ้งในเกียวโต ขอแนะนำให้ตัดสินใจก่อนว่าต้องการสินค้าประเภทไหน จากนั้นจึงค่อยมองหาแหล่งช็อปปิ้งโดยอ้างอิงจากสินค้าที่คุณต้องการ

ที่ย่านการค้ายอดนิยมของเกียวโตอย่างคาวาระมาจิ (Kawaramachi) และละแวกสถานีเกียวโตนั้น นอกจากของฝากที่มีความเป็นเกียวโตแล้ว ยังเรียงรายไปด้วยร้านค้าเบ็ดเตล็ดและร้านเสื้อผ้าที่วางขายสินค้าตามเทรนด์ใหม่ล่าสุดอีกด้วย ในขณะที่ย่านท่องเที่ยวใหญ่ๆ อย่างฮิกาชิยามะและอาราชิยามะจะเน้นไปทางของฝากจำพวกขนมและงานฝีมือพื้นบ้านของญี่ปุ่นเสียมากกว่า 

สำหรับผู้ที่ต้องการสินค้าที่สัมผัสได้ถึงศาสตร์พื้นบ้านของเกียวโต เราขอแนะนำ 'โกะโจซากะ (Gojozaka)' หรือที่เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ชาวังซากะ (Chawanzaka) ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับวัดคิโยมิสึ ที่นี่เป็นแหล่งผลิต 'คิโยมิสึยากิ (Kiyomitsuyaki)' เครื่องปั้นดินเผาอันมีเอกลัษณ์เฉพาะตัวของเกียวโต และมีร้านขายสินค้าดังกล่าวเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก  

ที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำคาโมะกาวะ (Kamo River) จากทิศเหนือไปยังทิศใต้ในบริเวณที่ถนนซันโจโดริกับถนนชิโจโดริตัดกันนั้นเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะย่านวินเทจ เพราะเป็นแหล่งรวมตัวของสินค้าวินเทจอย่างเครื่องปั้นดินเผาและเครื่องเรือน โด่งดังถึงขนาดที่ทำให้แฟนๆ สินค้าวินเทจจากต่างประเทศพากันมาเที่ยวชม

นอกจากนี้ที่ใกล้ๆ กับศาลเจ้าเฮอันจินกู (Heian Jingu Shrine) ยังเป็นที่ตั้งของ 'พิพิธภัณฑ์งานฝีมือเกียวโต' สถานที่จัดแสดงงานฝีมือเกียวโต ตั้งแต่สินค้าชิ้นเอกไปจนถึงสินค้าในราคาย่อมเยา เพียงแค่ได้รับชมผลงานชิ้นเอกที่อัดแน่นไปด้วยเทคนิคของผู้สร้างเหล่านี้ ก็ถือว่าเพียงพอที่จะทำให้ช่วงเวลาของคุณมีความพิเศษสุดๆ แล้ว

สำหรับผู้ที่ต้องการช็อปสินค้าชื่อดังของเกียวโตในเวลาอันจำกัด เราขอแนะนำโซนขายอาหารชั้นใต้ดินของศูนย์การค้า ที่อยู่ในละแวกสถานีเกียวโตและถนนชิโจโดริของคาวาระมาจิ เนื่องจากที่นี่นั้นเต็มไปด้วยขนมชื่อดังของร้านเก่าแก่ ไปจนถึงขนมของร้านหน้าใหม่ไฟแรง ทำให้คุณสามารถลองชิมแล้วเปรียบเทียบเพื่อหาขนมที่ถูกใจคุณได้

เทศกาลของเกียวโต

เกียวโตมีเทศกาลพื้นเมืองที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานอยู่เป็นจำนวนมาก หากมีโอกาสได้มาเกียวโตแล้ว ขอแนะนำให้ลองเข้าร่วมเทศกาลเหล่านี้เพื่อสัมผัสถึงประวัติศาสตร์และทัศนคติของผู้คนในพื้นที่ดูสักครั้ง ในส่วนนี้เราขอคัดสรรเทศกาลหลักๆ ที่จะจัดขึ้นในแต่ละฤดูมาให้คุณได้รู้จักกัน

Klook.com

ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม เมษายน พฤษภาคม)

เมื่อพูดถึงฤดูใบไม้ผลิของญี่ปุ่นก็ต้องนึกถึงซากุระ ในช่วงปลายเดือนมีนาคมไปจนถึงกลางเดือนเมษายน ซึ่งเป็นฤดูชมซากุระ นักท่องเที่ยวจากต่างชาติจำนวนมากจะพากันมาเที่ยวเกียวโตเพื่อชมดอกซากุระ จุดชมซากุระในเกียวโตมีอยู่มากมาย ตัวอย่างเช่น 'ทางรถไฟเคอาเกะ (Keage Incline)' อดีตทางรถไฟที่สองข้างทางมีซากุระผลิบานอยู่กว่า 90 ต้น  'เส้นทางแห่งปรัชญา (Tetsugaku no Michi)' หรือถนนเลียบคลองบิวะโกะ  'สวนสาธารณะมารุยามะ (Maruyama Park )' ที่มีการประดับไฟให้กับต้นซากุระสายพันธุ์ชิดาเระซากุระขนาดใหญ่  'วัดนินนะจิ (Ninnaji)' ที่มีชื่อเสียงมาจากซากุระที่บานช้ากว่าที่อื่น  และ 'อุโมงค์ซากุระ (Sakura no Tunnel)' ยาวประมาณ 200 เมตร ที่อยู่ระหว่างสถานีนารุทากิ (Narutaki) กับสถานีอุทาโนะ (Utano) ของรถไฟสายรันเด็น (Randen) และสายคิตาโนะ (Kitano)

นอกจากนี้ ในวันที่ 15 พฤษภาคมของทุกปี (เลื่อนเป็นวันถัดไปในกรณีที่มีฝนตก) จะมีการจัดเทศกาล 'อาโออิมัตสึริ (Aoi Matsuri)' ซึ่งเป็นหนึ่งในสามเทศกาลใหญ่ของเกียวโต ในวันดังกล่าวจะมีขบวนพาเหรดจากพระราชวังหลวงเกียวโตเคลื่อนไปยังศาลเจ้าชิโมะกาโมะ (Shimogamo Shrine) และศาลเจ้าคามิกาโมะ (Kamigamo Shrine) โดยคนกว่า 500 คนที่แต่งกายในเครื่องแต่งกายพื้นเมืองยุคเฮอันและประดับร่างกายด้วยดอกอาโออิ เป็นเทศกาลที่คุณจะได้รับชมม้า เกวียนวัว ร่มขนาดใหญ่ที่ประดับด้วยดอกไม้ประจำฤดูอย่างดอกโบตั๋นและดอกไอริสญี่ปุ่น และมิโคชิ (ศาลเจ้าขนาดเล็กสำหรับแห่ในเทศกาล) ที่นั่งมาโดย 'ไซโอได (Saio Dai)' ตำแหน่งเจ้าหญิงของเทศกาลที่ในแต่ละปีจะถูกคัดเลือกมาจากผู้หญิงธรรมดาที่อาศัยอยู่ในเกียวโต ขบวนพาเหรดที่มีสีสันงดงามนี้จะให้ภาพบรรยากาศที่น่าตกตะลึงอย่างแน่นอน

ฤดูร้อน (มิถุนายน กรกฎาคม สิงหาคม)

ในทุกๆ ปีตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน สัญลักษณ์ของฤดูร้อนของเกียวโตอย่าง 'คาวะโดโกะ (Kawadoko)' จะปรากฏกายให้คุณได้เห็น คาวะโดโกะคือการให้บริการอันเป็นเอกลักษณ์ของเกียวโต ซึ่งเป็นที่นั่งทานอาหารปูด้วยเสื่อทาทามิ มีลักษณะคล้ายระเบียงที่อยู่บนแม่น้ำหรืออยู่ในตำแหน่งที่เห็นแม่น้ำได้ชัดเจน คุณสามารถหาใช้บริการได้แถวคาโมะกาวะ (Kamo river) คิฟุเนะ (Kifune) และทาคาโอะ (Takao) ในระยะหลังนี้ไม่เพียงแต่อาหารญี่ปุ่นอย่างไคเซกิและอาหารเกียวโตเท่านั้น แต่ก็มีร้านที่เสิร์ฟอาหารอิตาเลี่ยน อาหารจีน เนื้อย่าง รวมไปถึงร้านแบบนั่งโต๊ะ เพิ่มขึ้นมาให้เห็นด้วยเช่นกัน

อีกหนึ่งสิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ 'กิออนมัตสึริ (Gion Matsuri)' เทศกาลที่เป็นทั้งหนึ่งในสามเทศกาลใหญ่ของเกียวโต และหนึ่งในสามเทศกาลใหญ่ของญี่ปุ่น เป็นเทศกาลทางศาสนาของศาลเจ้ายาซากะ ซึ่งมีต้นกำเนิดจากการสวดอ้อนวอนเพื่อปัดเป่าโรคติดต่อในยุคเฮอัน โดยจะมีการจัดกิจกรรมที่หลากหลายขึ้นตลอดทั้งเดือนกรกฎาคม ในบรรดากิจกรรมดังกล่าวก็มีพาเหรดยามะโฮโกะ (Yamahoko float) ในวันที่ 17 (เทศกาลครึ่งแรก) และวันที่ 24 (เทศกาลครึ่งหลัง) ที่คุณไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง มิโคชิของศาลเจ้ายาซากะและยามะโฮโกะอีก 33 หลังจะเดินขบวนไปยังละแวกชิโจคาราซุมะ (Shijo Karasuma) ชิโจคาวาระมาจิ (Shijo Kawaramachi) คาวาระมาจิโออิเคะ (Kawaramachi Oike) และคาราซุมะโออิเคะ (Karasuma Oike) ตามลำดับ ยามะโฮโกะแต่ละหลังจะมีลักษณะเด่นที่แตกต่างกันออกไป ลวดลายการปักเย็บและเครื่องประดับที่สวยงามของมันทำให้ยามะโฮโกะถูกเรียกว่า 'หอศิลป์เคลื่อนที่' อีกทั้ง พาเหรดยามะโฮโกะของเกียวโตกิออนมัตสึริยังได้รับการระบุให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้โดยยูเนสโกอีกด้วย

นอกจากนี้ ภาพยามค่ำคืนของยามะโฮโกะแต่ละหลังที่จะพากันจุดไฟจากโคมไฟนั้นก็น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก ในค่ำคืนของวันที่ 14-16 และ 21-23 ถนนสายหลักจะกลายเป็นถนนคนเดินที่เรียงรายไปด้วยร้านค้าแผงลอย มีผู้คนจำนวนมากพากันมาเดินกินอาหารและเพลิดเพลินไปกับเกมงานวัดต่างๆ  กิออนมัตสึริที่ไม่ควรพลาดทั้งกลางวันและกลางคืนนี้เป็นเทศกาลใหญ่ของเกียวโตที่ต้องมาชมให้ได้สักครั้ง

ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน ตุลาคม พฤศจิกายน)

ในยุคเฮอัน (ค.ศ. 794 - 1185) ช่วงฤดูชมจันทร์ (กลางเดือนกันยายน - ต้นเดือนตุลาคม) เทศกาลชมจันทร์และกิจกรรมพายเรือเล่นจะถูกจัดขึ้นอย่างคึกคักในหมู่ชนชั้นสูง แม้แต่ในทุกวันนี้ กิจกรรมชมพระจันทร์เต็มดวงในค่ำคืนฤดูใบไม้ร่วงก็ยังมีให้เห็นได้ตามสถานที่ชื่อดังต่างๆ ของเกียวโต ที่เห็นจะโด่งดังเป็นพิเศษก็คือเทศกาล 'กันเก็ตสึโนะยูเบะ (Kangetsu no Yube)' ที่จัดขึ้นที่วัดไดคะคุจิ (Daikakuji) ละแวกอาราชิยามะ ทุกปีในค่ำคืน 3 คืนช่วงพระจันทร์เต็มดวงของฤดูใบไม้ร่วง คุณจะสามารถนั่งเรือเล็กชมจันทร์เป็นเวลา 15 - 20 นาทีได้ที่บ่อน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ในสวนของวัดแห่งนี้ เรือเล็กนั้นมีให้เลือกระหว่างเรือหัวมังกร 'ริวโตเซ็น (Ryutosen)' และรือที่มีหัวเรือทรงนกน้ำในอุดมคติของจีน 'เกคิชูเซ็น (Gekishusen)' เป็นเทศกาลบรรยากาศดีที่คุณจะได้เพลิดเพลินไปกับค่ำคืนที่ยาวนานของฤดูใบไม้ร่วง พลางดื่มด่ำไปกับความสวยงามตามธรรมชาติของพระจันทร์และบ่อน้ำใหญ่

อีกหนึ่งในสามเทศกาลใหญ่ของเกียวโตคือ 'จิไดมัตสึริ (Jidai Matsuri)' ซึ่งจะถูกจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนตุลาคมของทุกปี เทศกาลที่ถือได้ว่าเป็นเทศกาลใหญ่ของศาลเจ้าเฮอันจินกูนี้มีไฮไลท์เป็นขบวนพาเหรดวัฒนธรรมในแต่ละยุคสมัย ซึ่งเป็นขบวนพาเหรดที่เคลื่อนจากพระราชวังหลวงเกียวโตไปยังศาลเจ้าเฮอันจินกู เดินขบวนโดยชาวเมืองกว่า 2,000 คนที่แต่งกายในสไตล์ตามแต่ละยุคสมัยตั้งแต่ยุคปฏิวัติเมจิเป็นต้นมา เอกลักษณ์ที่แตกต่างกันในแต่ละยุคไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ทรงผม หรือแม้แต่ข้าวของเครื่องใช้ในพิธีกรรม จะถูกจำลองมาให้คุณเห็นอีกครั้ง ผู้คนที่แต่งกายเลียนแบบบุคคลที่ได้ทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์อย่าง โอดะ โนบุนางะ (Oda Nobunaga) และ มุราซากิ ชิกิบุ (Murasaki Shikibu) ก็มีให้เห็นอยู่เช่นกัน ความโอ่อ่าอลังการของขบวนพาเหรดนี้ทำให้มันถูกเรียกว่าเป็น 'ม้วนภาพของยุคสมัยที่มีชีวิต' เลยทีเดียว

เกียวโต เมืองที่ให้ความสำคัญกับความสวยงามตามธรรมชาติของฤดูทั้งสี่แห่งนี้ยังมีจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีชื่อดังอยู่เป็นจำนวนมากจนนับไม่ถ้วน ตัวอย่างเช่น 'วัดจิซโซอิน (Jisshoin)' ที่มีชื่อเสียงจาก 'โตโคะโมมิจิ (Tokomomiji)' พื้นที่ส่องสะท้อนใบไม้เปลี่ยนสีสีแดงสด  'เอคังโด (Eikando)' หรือวัดเซ็นรินจิ (Zenrinji) ที่ถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสีจากต้นไม้กว่า 3,000 ต้น  และ 'วัดโทฟุคุจิ (Tofukuji)' ที่แผ่กว้างไปด้วยทิวทัศน์ที่ทำให้รู้สึกราวกับว่าได้เดินอยู่บนทะเลหมอกของใบไม้เปลี่ยนสี  อีกทั้งในบริเวณระหว่างสถานีอิชิฮาระ (Ichihara) กับสถานีนิโนเสะ (Ninose) ของรถไฟสายเอซัง (Eizan) ยังเป็นที่ตั้งของ 'อุโมงค์โมมิจิ (Momiji Tunnel)' อุโมงค์ต้นไม้ระยะทางยาวประมาณ 250 เมตรที่ขนาบข้างไปด้วยต้นโมมิจิ (เมเปิ้ลญี่ปุ่น) กว่า 280 ต้น หากนั่งรถไฟ 'คิราระ (Kirara)' สายชมวิวที่มีจุดเด่นเป็นหน้าต่างบานใหญ่และที่นั่งแบบหันหน้าเข้าหาหน้าต่างแล้วล่ะก็ คุณจะได้ดื่มด่ำไปกับโมมิจิอย่างหนำใจแน่นอน
ช่วงเวลาที่ใบไม้เปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองหรือสีแดงนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละปี แต่โดยปกติแล้วมักจะอยู่ที่ประมาณต้นเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม ผู้ที่วางแผนจะมาเกียวโตในช่วงเวลานี้ไม่ควรพลาดที่จะแวะจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีดูสักครั้ง

ฤดูหนาว (ธันวาคม มกราคม กุมภาพันธ์)

ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม วัดหลายๆ แห่งในเกียวโตจะจัดพิธีกรรมที่เรียกว่า 'ไดโกะดากิ (Daikodaki)' ขึ้นเพื่อเป็นการขอพรป้องกันโรคร้ายและนำมาซึ่งสุขภาพดี ในวันที่ 7 และ 8 ธันวาคม ที่ 'เซ็มบองชากะโด (Sembon Shakado)' หรือวัดไดโฮอนจิ (Daihoonji) จะมีการจำหน่ายไชเท้าเคี่ยวสุกที่ปรุงรสแล้วในราคา 1,000 เยน สาเหตุที่ว่าทำไมถึงต้องเป็นไชเท้านั้นต่างกันไปในแต่ละวัด ในกรณีของวัดไดโฮอนจินี้เกิดจากพิธีกรรมปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายด้วยการเขียนอักษรสันสกฤตลงบนด้านที่ถูกตัดของไชเท้า หลังจากที่เสร็จพิธีแล้วจึงนำไชเท้าดังกล่าวไปหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ และนำไปปรุงเป็นอาหาร  แต่ในกรณีของ 'วัดเรียวโทคุจิ (Ryotokuji)' ที่ซึ่งพิธีกรรมจะถูกจัดขึ้นในวันที่ 9 และ 10 ธันวาคมนั้นจะมีการปรุงไชเท้าถึงกว่า 3,000 หัว และวางจำหน่ายให้กับแขกที่มาสักการะในราคา 1,000 เยน ไดโกะดากิของวัดเรียวโทคุจิมีลักษณะเด่นที่ไม่เหมือนใคร นั่นก็คือเขามีเต้าหู้ทอดแถมมาให้ด้วย

ในวันที่ 31 ธันวาคม เกียวโตจะมีพิธีกรรมที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่าง 'โชยะโนะคาเนะ (Shoya no Kane)' หรือการสั่นระฆังปีใหม่ขึ้นที่วัดชิอนอิน (Chionin) ในพิธีกรรมดังกล่าวพระสงฆ์ 17 รูปจะช่วยกันดึงเชือกเส้นเล็กใหญ่เพื่อสั่นระฆัง 108 ครั้ง ซึ่งเท่ากับจำนวนของกิเลสในคำสอนของศานาพุทธ โดยเชื่อกันว่าการตีระฆังนี้จะช่วยปัดเป่ากิเลสเพื่อให้มีจิตใจที่บริสุทธิ์พร้อมรับปีใหม่

ระฆังของวัดชิอนอินมีขนาดที่สูงถึง 3.3 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางยาว 2.8 เมตร หนา 30 เซนติเมตร และหนักถึง 70 ตัน พระสงฆ์ 16 รูปที่รับหน้าที่ดึงเชือกเส้นเล็กจะทำการดึงเชือกเพื่อยกไม้ตีระฆังขึ้น จากนั้นพระสงฆ์ที่เหลืออีก 1 รูปจะผลักไม้ตีระฆังที่ถูกยกขึ้นลงเพื่อตีระฆัง ความยิ่งใหญ่ของพิธีกรรมนี้ดึงดูดผู้คนที่มาสักการะให้มาเข้าชมได้เป็นจำนวนมากในทุกๆ ปี ประตูเข้าสักการะจะเปิดตอน 20:00 น. ของวันที่ 31 ธันวาคม ส่วนพิธีสั่นระฆังนั้นจะเริ่มขึ้นตั้งแต่ 22:40 น. ไปจนถึง 00:20 น. ของวันที่ 1 มกราคม เนื่องจากผู้คนมักมาเข้าแถวรอกันตั้งแต่ 19:00 น. เพื่อรับชมการสั่นระฆังครั้งแรก หากคุณวางแผนที่จะมาแล้วล่ะก็ ขอแนะนำให้เผื่อเวลาไว้ด้วย

ในญี่ปุ่นมีประเพณีที่เรียกว่า ฮัตสึโมเดะ (Hatsumode) ซึ่งเป็นการกล่าวขอบคุณปีที่ผ่านมา พร้อมๆ กับขอให้ปีใหม่ที่มาถึงมีความสงบราบรื่น ในช่วงเวลานี้ของทุกปี วัดและศาลเจ้าในเกียวโตจะเต็มไปด้วยผู้ที่มาสักการะเพื่อทำฮัตสึโมเดะอย่างไม่ขาดสาย ที่เห็นจะได้รับความนิยมเป็นพิเศษก็คือ 'ศาลเจ้าเฮอันจินกู (Heian Jingu)' ที่มีเสาโทริอิขนาดใหญ่ สูง 24 เมตร กว้าง 18 เมตร 'ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริไทชะ (Fushimi Inari Taisha)' ที่มีชื่อเสียงจากเสาโทริอิพันต้น และการขอพรด้านการค้าขายและเพาะปลูก  'ศาลเจ้าคามิกาโมะ (Kamigamo-jinja)' และ 'ศาลเจ้าชิโมะกาโมะ (Shimogamo-jinja)' ซึ่งได้รับการระบุให้เป็นมรดกโลก และเป็นศาลเจ้าที่จัดเทศกาลอาโออิมัตสึริ  ผู้ที่มาสักการะฮัตสึโมเดะจำนวนมากมักจะจับโอมิคุจิ (กระดาษทำนาย) เพื่อทำนายดวงตลอดทั้งปีของตัวเอง

การเดินทางไปเกียวโต

เกียวโตอยู่ใกล้กับจังหวัดโอซาก้า ซึ่งเป็นที่ตั้งของ 'สนามบินนานาชาติคันไซ' และ 'สนามบินนานาชาติโอซาก้า (สนามบินอิตามิ)' จากสองสนามบินดังกล่าวคุณสามารถใช้บริการรถลีมูซีน (Limousine Bus) ที่วิ่งสายตรงไปยังเกียวโตได้ นอกจากนี้เนื่องจากสถานีเกียวโตเป็นจุดจอดของรถไฟชินคันเซ็น คุณจึงนั่งรถไฟมาจากโอซาก้าหรือโตเกียวได้เช่นกัน เรียกได้ว่าไม่ว่าคุณจะเดินทางมาจากเมืองใหญ่ๆ เมืองไหนก็สะดวกเป็นอย่างยิ่ง

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

การเดินทางในเกียวโต

เกียวโต เมืองที่เคยรุ่งเรืองมาอย่างยาวนานในฐานะเมืองหลวงนี้ มีสมบัติทางวัฒนธรรมมากมายหลับใหลอยู่ใต้ดิน ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เกียวโตมีรถไฟฟ้าใต้ดินน้อยกว่าเมืองใหญ่ๆ อย่างโตเกียวหรือโอซาก้า อีกทั้งเพื่อเป็นการคงไว้ซึ่งทิวทัศน์อันงดงาม ทางผู้นำเมืองจึงเลี่ยงการพัฒนาโครงการใหญ่ๆ ส่งผลให้ถนนส่วนใหญ่เป็นถนนสายแคบๆ และถนนวิ่งทางเดียวเหมือนกับในสมัยก่อน

แม้ว่าแหล่งท่องเที่ยวหลักๆ ของเกียวโตจะรวมตัวกันอยู่ในบริเวณตัวเมือง แต่ด้วยเหตุผลข้างต้น ทำให้นอกเหนือจากรถไฟแล้วคุณจำเป็นต้องใช้บริการรถบัสในการเดินทางด้วย รถบัสเป็นยานพาหนะที่สะดวกเนื่องจากสามารถวิ่งวนทั่วเมืองเกียวโตได้อย่างอิสระ อย่างไรก็ตาม ในฤดูท่องเที่ยวอย่างฤดูซากุระและฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ถนนอาจแออัดไปด้วยรถ คุณจึงควรเผื่อเวลาในการเดินทางไว้ด้วย

อีกด้านหนึ่ง ในกรณีของสถานที่ที่อยู่นอกตัวเมืองเกียวโตอย่าง 'อามาโนะฮาชิดาเตะ (Amanohashidate)' และ 'คายาบูกิโนะซาโต (Kayabuki no Sato)' นั้นมักมีรถบัสวิ่งไปค่อนข้างน้อย เราจึงขอแนะนำให้เดินทางโดยรถไฟหรือรถเช่าเพื่อความสะดวกสบายกว่า

มาวางแผนเลือกวิธีการเดินทางให้ดีก่อนล่วงหน้าเพื่อให้ทริปของคุณราบรื่นกันเถอะ

รถไฟ

หากสถานที่ที่คุณต้องการไปตั้งอยู่ใกล้กับจุดที่รถไฟวิ่งผ่าน การเดินทางโดยรถไฟดูเหมือนว่าจะเป็นตัวเลือกที่สะดวกที่สุด ซึ่งมีข้อดีคือคุณสามารถเดินทางได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องสนใจสภาพการจราจรบนท้องถนน รถไฟสายหลักๆ ที่วิ่งในเกียวโตได้แก่ รถไฟใต้ดินเกียวโต รถไฟ JR รถไฟเคฮัง (Keihan) และรถไฟกินเท็ตสึ (Kintetsu) ตั๋วรถไฟใต้ดินเกียวโตมีราคาเริ่มต้นที่ 210 เยน แม้ว่าจะมีราคาสูงกว่ารถไฟใต้ดินของโตเกียวและโอซาก้า แต่ก็มีโปรโมชั่นอย่าง 'ตั๋ว 1 วันสำหรับรถไฟใต้ดิน' (ผู้ใหญ่ 600 เยน / เด็กเล็ก 300 เยน) และ 'ตั๋ว 1 วันสำหรับรถไฟใต้ดินและรถบัส (City Bus Kyoto Bus Keihan Bus)' (ผู้ใหญ่ 900 เยน / เด็กเล็ก 450 เยน) จึงขอแนะนำให้ลองเช็คดูก่อน

นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่ต้องการประสบการณ์การท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบแม้แต่ขณะเดินทาง เราขอแนะนำรถไฟ 3 สายดังต่อไปนี้ รถไฟสายเอซัง ของ Eizan Electric Railway ที่วิ่งเชื่อมระหว่าง 'เดมาจิยานางิ (Demachiyanagi)' 'คุรามะ (Kurama)' และ 'ภูเขาฮิเอ (Hiei)' เป็นรถไฟสายยอดนิยมในหมู่นักท่องเที่ยว เนื่องจากมีขบวนสำหรับชมวิวโดยเฉพาะ ซึ่งคุณสามารถเพลิดเพลินไปกับวิวทิวทัศน์อย่างอุโมงค์โมมิจิได้ รถไฟสายรันเด็น ของ Keifuku Electric Railroad ที่วิ่งเชื่อมระหว่าง 'ชิโจโอมิยะ (Shijo Omiya)' กับ 'อาราชิยามะ' ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนในท้องถิ่นในฐานะรถรางเพียงหนึ่งเดียวของเกียวโต  และสุดท้ายก็คือรถไฟสายซากาโนะ ของ Sagano Scenic Railway ที่วิ่งเชื่อมระหว่าง 'คาเมะโอกะ' และ 'อาราชิยามะ' เป็นสายที่จะทำให้คุณได้เพลิดเพลินไปกับความสวยงามของช่องเขาและธรรมชาติสี่ฤดูเลียบแม่น้ำโฮสุกาวะ (Hozugawa) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูซากุระหรือฤดูใบไม้เปลี่ยนสีนั้นจะคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวจำนวนมาก

▼ ข้อมูลรถไฟ
https://kyoto.travel/en/traveller_kit/kyotocity_train

รถบัส

รถบัสของเกียวโตมีอยู่หลายสายและมีเส้นทางการวิ่งที่ซับซ้อน ทำให้นักท่องเที่ยวหลายๆ คนเลือกไม่ได้ว่าจะขึ้นรถสายไหนดี จึงขอแนะนำให้ตรวจสอบเส้นทางและหมายเลขของรถที่คุณจะขึ้นล่วงหน้าจาก URL ที่อยู่ด้านล่าง
City Bus ของเกียวโตมีราคา 230 เยนราคาเดียวตลอดทั้งสาย (เด็กเล็ก 120 เยน / ยกเว้นในบางเขต) ขั้นตอนการใช้บริการมีดังนี้
(1)ขึ้นรถจากประตูหลัง
(2)กดปุ่มจอดเมื่อรถออกจากป้ายก่อนหน้าป้ายที่คุณต้องการลง
(3)ก่อนลงจากรถให้ชำระเงินที่กล่องค่าโดยสารที่อยู่ข้างคนขับ หรือชำระด้วยบัตร IC การ์ด
(4)ลงจากรถทางประตูหน้า
ในฤดูท่องเที่ยว รถสายที่วิ่งผ่านย่านท่องเที่ยวชื่อดังมักจะมีผู้โดยสารอัดแน่นอยู่เต็มคันและไม่ตรงเวลาอยู่บ่อยครั้ง จึงขอแนะนำให้เผื่อเวลาไว้ด้วย

▼ แผนที่เส้นทางของ City Bus และรถไฟใต้ดิน
ภาษาอังกฤษ :https://www2.city.kyoto.lg.jp/kotsu/webguide/en/comm/routemap.html
ภาษาจีนตัวย่อ  :https://www2.city.kyoto.lg.jp/kotsu/webguide/sc/comm/routemap.html
ภาษาจีนตัวเต็ม :https://www2.city.kyoto.lg.jp/kotsu/webguide/tc/comm/routemap.html
ภาษาเกาหลี     :https://www2.city.kyoto.lg.jp/kotsu/webguide/ko/comm/routemap.html

ผู้เชี่ยวชาญรถบัสและรถไฟใต้ดิน (เว็บไซต์แนะนำการขึ้นรถ)
ภาษาญี่ปุ่น      :https://www.arukumachikyoto.jp/
ภาษาอังกฤษ :https://www.arukumachikyoto.jp/index.php?lang=en

หมายเหตุ:「เด็กเล็ก」คือ ผู้ที่มีอายุมากกว่า 6 ขวบแต่ไม่ถึง 12 ขวบ (กรณีที่เรียนอยู่ในระดับประถมศึกษา แม้ว่าอายุจะเกิน 12 ก็ยังถือว่าเป็นเด็กเล็ก)

แท็กซี่

หากต้องการเดินทางอย่างสะดวกในเกียวโต เมืองที่มีถนนแคบๆ และถนนทางเดียวอยู่เป็นจำนวนมากแล้วล่ะก็ ขอแนะนำให้ใช้บริการแท็กซี่ เนื่องจากคนขับส่วนใหญ่เป็นคนที่ช่ำชองในพื้นที่ พวกเขาจึงสามารถนำคุณไปยังจุดหมายโดยใช้เส้นทางที่เร็วที่สุดในช่วงเวลานั้นๆ  ค่าโดยสารแรกเริ่มภายในตัวเมืองเกียวโตอยู่ที่ 450 เยน ทำให้ในกรณีที่เดินทางหลายคน แท็กซี่อาจจะประหยัดกว่ารถบัสหรือรถไฟก็เป็นได้

นอกจากนี้ ในกรณีที่จะใช้บริการแท็กซี่จากสถานีเกียวโต ขอแนะนำ 'Foreign Friendly Taxi' ซึ่งเน้นให้บริการกับชาวต่างชาติที่มาเที่ยวญี่ปุ่นโดยเฉพาะ แม้ว่าจะมีค่าโดยสารที่เท่ากับแท็กซี่ปกติ แต่คนขับกลับเป็นคนที่สื่อสารภาษาต่างชาติและได้รับการฝึกฝนด้านการให้บริการมาเป็นพิเศษ อีกทั้งคุณยังสามารถจ่ายค่าโดยสารด้วยบัตรเครดิตหรือ IC การ์ดได้อีกด้วย จุดจอดรถเฉพาะของแท็กซี่ 'Foreign Friendly Taxi' อยู่ที่ทางออก 'คาราซุมะคุจิโนริบะ (Karasumaguchi Noriba)' บริเวณฝั่งตะวันออกของทางออกกลางของสถานี JR Kyoto และทางออก 'ฮาจิโจคุจิโนริบะ (Hachijoguchi Noriba)' บริเวณฝั่งตะวันตกของทางออกชินคันเซ็นฮาจิโจ (Shinkansen Hachijo) ของสถานี JR Kyoto

▼ รายละเอียดของ「Foreign Friendly Taxi」
https://kyoto.travel/files/ff-taxi.pdf

รถเช่า

สำหรับผู้ที่มีใบขับขี่สากล เราขอแนะนำ รถเช่า พาหนะที่สามารถเดินทางได้โดยไม่ต้องสนใจเวลาและสถานที่ สำหรับการเดินทางภายในเมืองเกียวโตแล้ว การขนส่งสาธารณะอาจสะดวกและมีราคาถูกกว่า แต่ในกรณีที่เดินทางไปนอกตัวเมืองหรือเดินทางเป็นกลุ่มคณะ รถเช่าจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากจำเป็นต้องทำการขับรถเองในญี่ปุ่น จึงขอให้ระวังแยกที่เกิดอุบัติเหตุง่ายไว้ด้วย
นอกจากนี้ในช่วงวันหยุดยาวอย่าง 'โกลเด้นวีค Golden Week (ปลายเดือนเมษายน - ต้นเดือนพฤษภาคม)' 'เทศกาลโอบง (กลางเดือนสิงหาคม)' และ 'เทศกาลขึ้นปีใหม่' การจราจรอาจติดขัดยาวได้ถึงสิบกิโลเมตร จึงขอแนะนำให้เลี่ยงการใช้บริการรถเช่าในช่วงเวลาดังกล่าว

Klook.com

จักรยานเช่า

การปั่นจักรยานเช่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับการเดินทางอย่างเรื่อยๆ พลางชมวิวทิวทัศน์ต่างๆ เช่น แม่น้ำคาโมะกาวะและบ้านที่อยู่อาศัยอันมีเอกลักษณ์ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับฤดูที่อากาศดีอย่างฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง เนื่องจากสามารถหยุดชมสิ่งต่างๆ ระหว่างทางได้ตามใจชอบ ทำให้ได้ท่องเที่ยวราวกับว่าเป็นคนในท้องที่เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม การจอดบนถนนนั้นมีกฎหมายห้ามไว้ ในบางกรณีอาจถูกยึดจักรยานเลยก็ได้ จึงขอแนะนำให้ใช้ที่จอดจักรยานสาธารณะหรือที่จอดของร้านค้า อีกทั้งเนื่องจากเมืองเกียวโตมีภูมิประเทศทางตอนใต้ที่ต่ำกว่าทางตอนเหนือ ทำให้การเดินทางขึ้นทางทิศเหนือโดยจักรยานเป็นระยะทางไกลๆ อาจจะต้องเสียพลังงานมากขึ้นเป็นพิเศษ หากเป็นไปได้ขอแนะนำให้เลี่ยงไว้จะดีกว่า

▼ เว็บไซต์เกี่ยวกับจักรยาน
ภาษาญี่ปุ่น:https://kyoto-bicycle.com/parking
ภาษาอื่นๆ:https://kyoto-bicycle.com/foreigners

รถลาก

รถลาก ทางเลือกที่จะทำให้คุณได้เดินทางพลางเพลิดเพลินไปกับการท่องเที่ยวที่มีความเป็นเกียวโตอย่างแท้จริง เป็นรถที่ให้แขกขึ้นนั่งแล้วถูกลากด้วยแรงคน ที่ละแวกฮิกาชิยามะและอาราชิยามะนั้นมีคนลากรถให้เห็นอยู่ทั่วไป หากพบแล้วลองส่งเสียงเรียกเพื่อขอใช้บริการดูสิ ในส่วนของราคานั้นมักจะแตกต่างกันไปตามบริษัทที่เป็นเจ้าของ โดยราคาตลาดสำหรับการนั่งเหมา 30 นาทีจะอยู่ที่ประมาณ 7,000 เยนต่อ 1 คน  9,000 เยนต่อ 2 คน  และ 13,500 เยนต่อ 3 คน (ในกรณี 3 คนจะใช้รถลาก 2 คัน)

ที่พักในเกียวโต

จำนวนนักท่องที่ยวในเกียวโตที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ธุรกิจที่พักในเกียวโตเติบโตตามไปด้วย แม้ว่าปัญหาที่พักไม่เพียงพอที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนจะไม่มีค่อยมีให้พบเจอในสมัยนี้ แต่ที่พักชื่อดังหลายๆ แห่งก็มีผู้ใช้บริการจองจนเต็มอย่างรวดเร็ว เราจึงแนะนำให้คุณทำการจองไว้แต่เนิ่นๆ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะนิยมเข้าพักในละแวกฮิกาชิยามะ ซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่มากมาย และยังใกล้กับสถานที่ที่สะดวกต่อการเดินทางอย่างคาวาระมาจิและย่านการค้ารอบๆ สถานีเกียวโตอีกด้วย

สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าพักอย่างสงบห่างไกลจากความวุ่นวายของตัวเมือง ขอแนะนำละแวกท่องเที่ยวชื่อดังอย่างอาราชิยามะ คิฟุเนะ และคุรามะ ละแวกเหล่านี้มีสถานที่ท่องเที่ยวในช่วงกลางคืนไม่ค่อยมาก อีกทั้งยังมีที่พักพร้อมออนเซ็นอยู่มากกว่าละแวกอื่นๆ ทำให้สามารถใช้เวลาอย่างสงบพลางชื่นชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามได้

หากเป็นเกียวโต เมืองท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลกแห่งนี้แล้วล่ะก็ ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจเลือกที่พักจากตำแหน่งที่ตั้ง หรือจากบริการและงบประมาณ รับรองได้ว่าจะต้องมีที่พักที่เหมาะกับคุณอยู่อย่างแน่นอน

โรงแรม

เรทค่าเข้าพักของโรงแรมในเกียวโตอยู่ที่ประมาณ 8,000 - 20,000 เยน (ต่อ 1 คนสำหรับ 1 คืน) การให้บริการของแต่ละโรงแรมจะแตกต่างกันออกไป แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะมีแผนกต้อนรับให้คุณสอบถามข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ในพื้นที่อย่างร้านอาหารแนะนำและวิธีการเดินทางไปสถานที่ต่างๆ ได้ ในระยะหลังๆ นี้ พนักงานต้อนรับที่พูดภาษาอื่นนอกจากภาษาญี่ปุ่นได้ก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีทั้งโรงแรมในตัวเมืองราคาถูกที่มีขนาดกะทัดรัด และโรงแรมขนาดใหญ่ที่ครบครันไปด้วยร้านอาหารและอ่างอาบน้ำสาธารณะ กล่าวได้ว่าข้อดีของโรงแรมคือมีตัวเลือกหลากหลายตอบสนองงบประมาณและการใช้งานที่ต่างกันไป

เรียวกัง

'เรียวกัง' ที่พักสไตล์ญี่ปุ่น มีเรทค่าเข้าพักอยู่ที่ประมาณ 10,000 - 20,000 เยน (ต่อ 1 คนสำหรับ 1 คืน) บริการที่มีให้มักจะแตกต่างกันไปในแต่ละที่ โดยพื้นฐานแล้วมักจะมีเสื่อทาทามิ ชุดยูกาตะ ออนเซ็น และเครื่องเรือนญี่ปุ่น จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างเต็มรูปแบบ เสน่ห์ของที่พักประเภทนี้คือการได้สัมผัสกับความเป็นญี่ปุ่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการได้ทานอาหารญี่ปุ่นในห้องที่ดูมีความเก่าแก่ หรือการได้เพลิดเพลินไปกับการตกแต่งแบบญี่ปุ่นที่เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล อีกทั้งในกรณีของเรียวกังที่มีอ่างอาบน้ำสาธารณะ คุณยังสามารถลงแช่เพื่อเยียวยาร่างกายที่เหนื่อยล้าได้อีกด้วย

โรงแรมธุรกิจ (Business Hotels)

สำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดค่าที่พัก ขอแนะนำให้เข้าพักที่ 'โรงแรมธุรกิจ' ซึ่งมีเรทราคาอยู่ที่ประมาณ 6,000 - 10,000 เยน (ต่อ 1 คนสำหรับ 1 คืน) ด้วยเหตุที่เป็นโรงแรมราคาประหยัด เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ จึงเรียบง่ายกว่าโรงแรมหรูๆ แต่ก็ตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของคุณได้พอดี
เนื่องจากเดิมทีที่พักเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นนักธุรกิจ โรงแรมธุรกิจจำนวนมากจึงตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟที่ง่ายต่อการเดินทาง แถมยังมีหลายแห่งที่คุณสามารถเข้าพักในห้องที่สะอาดสะอ้านและสะดวกสบายได้ในราคาถูกด้วย จึงทำให้ในไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้โรงแรมประเภทนี้กลายเป็นที่นิยมอย่างมากในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ

โรงแรมแคปซูล

หากคุณมาเที่ยวญี่ปุ่นคนเดียวแล้วล่ะก็ ขอแนะนำให้ลองพักที่ 'โรงแรมแคปซูล' โรงแรมแบบออริจินอลของญี่ปุ่นดูสักครั้ง มีเรทราคาอยู่ที่ประมาณ 2,500 - 5,000 เยน (ต่อ 1 คนสำหรับ 1 คืน) เป็นที่พักแบบง่ายๆ ที่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับให้นอนได้ 1 คน เดิมทีเป็นที่พักสำหรับพนักงานบริษัทที่พลาดรถไฟขบวนสุดท้าย แต่เมื่อไม่นานมานี้ก็ได้กลายเป็นที่นิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย หรือไม่ก็ต้องการสัมผัสกับที่พักสไตล์ญี่ปุ่น โรงแรมแคปซูลมีให้เลือกอยู่มากมาย ตั้งแต่โรงแรมแบบง่ายๆ ที่เน้นความประหยัด ไปจนถึงโรงแรมมีสไตล์ที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ในะระยะหลังนี้ โรงแรมแคปซูลที่เน้นด้านดีไซน์และความสะดวกสบายก็เกิดขึ้นให้เห็นเป็นจำนวนมากเช่นกัน

เกสต์เฮ้าส์

เกสต์เฮ้าส์ ที่พักยอดนิยมของเหล่าแบ็คแพ็คเกอร์ (Backpacker) มีเรทราคาอยู่ที่ประมาณ 3,000 - 7,000 เยน (ต่อ 1 คนสำหรับ 1 คืน) ไม่เพียงแต่จะช่วยประหยัดเท่านั้น แต่ยังมีพื้นที่ส่วนรวมให้เพลิดเพลินไปกับการพูดคุยกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ หรือคนในพื้นที่อีกด้วย ในระยะหลังนี้ เกสต์เฮ้าส์หลายแห่งมักมีคาเฟ่และบาร์อยู่ในตัว ลองเพลิดเพลินไปกับการพูดคุยกับเจ้าของร้านและแขกในท้องถิ่น รวมไปถึงสัมผัสการให้บริการอันเป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่นั้นๆ ดูสิ


หมายเหตุ: ราคาอาจแตกต่างไปในช่วงฤดูท่องเที่ยว

⇨ ชมลิสต์โรงแรมและที่พักยอดนิยมในเกียวโต 

ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวในเกียวโต

หากคุณหลงทางหรือไปถึงที่หมายไม่ได้ ขอแนะนำให้ใช้บริการศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยว ในบรรดาศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวที่มีอยู่มากมาย ศูนย์ที่เราขอแนะนำเป็นพิเศษคือศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวที่ได้รับการรับรองจาก Japan National Tourism Organization (JNTO)  'JNTO' คือ กรมการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นที่แบ่งศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวออกตามสถานที่ตั้งและหน้าที่ที่รับผิดชอบ
ในบรรดาศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวดังกล่าว เราขอยกขึ้นมา 3 แห่งให้คุณได้ทำความรู้จักกัน ทุกแห่งรองรับภาษาญี่ปุ่น และมีบางแห่งที่รองรับภาษาอื่นๆ อยู่ด้วย นอกจากนี้ทั้ง 3 แห่งยังตั้งอยู่ในละแวกท่องเที่ยวชื่อดัง จึงง่ายต่อการใช้บริการเป็นอย่างยิ่ง มาลองใช้บริการศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวเพื่อให้ทริปของคุณราบรื่นยิ่งขึ้นดูสิ

Kyoto Tourist Information Center (สถานีเกียวโต)

ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวที่จัดตั้งขึ้นโดยการร่วมมือกันระหว่างเมืองเกียวโตกับจังหวัดเกียวโต นอกจากจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับที่พักและแหล่งท่องเที่ยวทั่วทั้งจังหวัดเกียวโตแล้ว ยังมีบริการจำหน่ายตั๋วที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวอยู่อีกด้วย

ภาษาญี่ปุ่น: https://ja.kyoto.travel/information/
ภาษาอื่นๆ : https://tic.jnto.go.jp/detail.php?id=1219

Kawaramachi Sanjo Tourist Infomation Center (คาวาระมาจิ)

ศูนย์บริการนำทางและให้ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวเป็นภาษาอังกฤษ รวมไปถึงจำหน่ายตั๋วที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เชื่อมต่ออยู่กับ 'Restaurant Information Center by GURUNAVI' ที่นอกจากจะแนะนำร้านอาหารแล้ว ยังมีพื้นอเนกประสงค์สำหรับให้นมเด็กหรือทำละหมาดอยู่อีกด้วย

ภาษาญี่ปุ่น/ภาษาอื่นๆ : https://tic.jnto.go.jp/detail.php?id=3165

kokoka Kyoto International Community House (เคอาเกะ)

Kyoto International Community House ตั้งอยู่ในละแวกโอกาซากิ (Okazaki) ใกล้กับศาลเจ้าเฮอันจินกูและวัดนันเซ็นจิ (Nanzenji) ครบครันไปด้วยข้อมูลที่ไม่เพียงแต่นักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์กับชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นด้วย เช่น ล็อบบี้สำหรับนั่งพูดคุย ห้องสมุด ร้านอาหาร และ Message Corner (มุมสำหรับติดใบปลิว) เว็บไซต์ของสถานที่แห่งนี้มีการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิต เช่น วิธีรับมือกับภัยพิบัติหรือสถานการณ์ฉุกเฉิน ขอแนะนำให้บุ๊คมาร์คไว้เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน

ภาษาญี่ปุ่น:http://www.kcif.or.jp/
ภาษาอังกฤษ:http://www.kcif.or.jp/en
ภาษาจีน:http://www.kcif.or.jp/cn
ภาษาเกาหลี:http://www.kcif.or.jp/kr

วิธีรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน

หน่วยงานด้านการพยาบาล

กรณีที่บาดเจ็บหรือเจ็บป่วยขณะที่อยู่ในญี่ปุ่น ขอแนะนำให้ใช้บริการเว็บไซต์ด้านล่าง ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่คุณสามารถค้นหาหน่วยงานด้านการพยาบาลจากทั่วทั้งประเทศกว่า 900 แห่งที่รองรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ อีกทั้งยังสามารถดาวน์โหลด 'คู่มือการใช้บริการหน่วยงานด้านการพยาบาล' ได้ ซึ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับวิธีเข้ารับการรักษา สิ่งที่ควรระวัง แผนภาพอธิบายอาการของโรค ไปจนถึงคู่มือที่เป็นประโยชน์ในสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างแผ่นดินไหว

ภาษาญี่ปุ่น:https://www.pref.kyoto.jp/fukei/index.html
ภาษาอังกฤษ:https://www.pref.kyoto.jp/fukei/foreign/english.html
ภาษาจีน:https://www.pref.kyoto.jp/fukei/foreign/tyugoku.html
ภาษาเกาหลี:https://www.pref.kyoto.jp/fukei/foreign/kankoku.html

สถานีตำรวจ

เมื่อเกิดปัญหา ไม่ว่าจะเป็นทำของขาย หลงทาง หรือพบกับมิจฉาชีพ ขอแนะนำให้ไปที่ป้อมตำรวจหรือสถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุด เว็บไซต์ด้านล่างนี้มีทั้งมุมถามตอบเกี่ยวกับการทำของหาย เบอร์โทรศัพท์สำหรับเวลาฉุกเฉิน รวมไปถึงที่ตั้งและเบอร์โทรศัพท์ของสถานีตำรวจในเกียวโต มาลองเช็คล่วงหน้าเพื่อจะได้ท่องเที่ยวได้อย่างสบายใจกันเถอะ

▼ 'คู่มือป้องกันภัยและกฎการใช้งานจักรยาน' สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
https://www.pref.kyoto.jp/fukei/foreign/documents/ei_tyu-panf2018.pdf

ภาษาญี่ปุ่น:https://www.pref.kyoto.jp/fukei/index.html
ภาษาอังกฤษ:https://www.pref.kyoto.jp/fukei/foreign/english.html
ภาษาจีน:https://www.pref.kyoto.jp/fukei/foreign/tyugoku.html
ภาษาเกาหลี:https://www.pref.kyoto.jp/fukei/foreign/kankoku.html

สถานที่ที่รองรับชาวมุสลิม

สำหรับผู้ที่ต้องการค้นหาร้านอาหารที่มีอาหารมุสลิมให้บริการ โปรดเช็คที่เว็บไซต์ด้านล่าง เนื่องจากสามารถค้นหาโดยใส่คีย์เวิร์ด ตำแหน่งที่ตั้ง และประเภทของร้านได้ คุณจะได้เจอร้านที่ถูกใจอย่างแน่นอน

▼ เว็บไซต์ Halal Gourmet Japan (ภาษาอื่นนอกจากภาษาอังกฤษเป็นการแปลโดย Google)
ภาษาญี่ปุ่น:https://www.halalgourmet.jp/ja/list?q%5Blocation_id_eq%5D=27
ภาษาอังกฤษ:https://www.halalgourmet.jp/list?q%5Blocation_id_eq%5D=27l
ภาษาจีนตัวเต็ม:https://www.halalgourmet.jp/ja/list?q%5Blocation_id_eq%5D=27
ภาษาจีนตัวย่อ:https://www.halalgourmet.jp/ja/list?q%5Blocation_id_eq%5D=27
ภาษาอินโดนีเซีย:https://www.halalgourmet.jp/ja/list?q%5Blocation_id_eq%5D=27

Klook.com

การเดินทางจากเกียวโตไปเมืองอื่นๆ

การเดินทางไปแหล่งท่องเที่ยวหลักของญี่ปุ่นอย่างฮอกไกโด โตเกียว โอซาก้า ฟุกุโอกะ หรือโอกินาว่านั้น สามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นรถไฟชินคันเซ็น เครื่องบิน หรือรถบัส มาวางแผนล่วงหน้าโดยอ้างอิงจากงบประมาณและที่หมายของคุณ เพื่อทำให้การเดินทางเป็นไปได้อย่างราบรื่นกัน

● ชินคันเซ็น
หากใช้บัตรรถไฟ JAPAN RAIL PASS แบบ 7 วัน 29,110 เยน หรือแบบ 14 วัน 46,390 เยน (ราคาสำหรับผู้ใหญ่) แล้วล่ะก็ คุณจะสามารถนั่งรถไฟและรถบัสในเครือ JR รวมไปถึงชินคันเซ็น ได้อย่างไม่จำกัดจำนวนครั้งภายในระยะเวลาดังกล่าว การซื้อข้าวกล่องในสถานีมานั่งทานภายในรถไฟเหมือนอย่างที่คนญี่ปุ่นทำกันก็น่าสนใจเช่นกัน

● เครื่องบิน
เครื่องบินอาจเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการเดินทางระยะไกลที่เน้นเรื่องความรวดเร็ว ที่เกียวโตมีลีมูซีนบัสคอยให้บริการจากสถานีเกียวโตไปสนามบินนานาชาติคันไซทุกๆ 30 นาที ในราคา 2,250 เยน (ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. 30 นาที) และจากสถานีเกียวโตไปสนามบินนานาชาติโอซาก้า (สนามบินอิตามิ) ทุกๆ 20 นาที ในราคา 1,310 เยน (ใช้เวลาประมาณ 50 นาที) จึงสะดวกเป็นอย่างมาก การได้สัมผัสกับบริการที่แตกต่างกันไปของแต่ละสายการบินของญี่ปุ่นก็ถือได้ว่าเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของการเดินทางโดยเครื่องบิน ในระยะหลังนี้ สายการบินราคาถูกมีให้เห็นมากขึ้น ทำให้สามารถเดินทางไปเมืองไกลๆ ได้อย่างประหยัดและรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงกลางดึกหรือเช้ามืด คุณอาจบินไปเมืองใหญ่ๆ อย่างโตเกียว ฮอกไกโด หรือโอกินาว่า จากสนามบินโอซาก้าซึ่งอยู่ใกล้กับเกียวโต ได้ในราคาถูกถึง 5,000 เยนก็เป็นได้

● ลีมูซีนบัส (Limousine Bus)
ภาษาญี่ปุ่น:https://www.okkbus.co.jp/
ภาษาอังกฤษ:https://www.okkbus.co.jp/en/
ภาษาจีนตัวเต็ม:https://www.okkbus.co.jp/tcn/
ภาษาจีนตัวย่อ:https://www.okkbus.co.jp/scn/
ภาษาเกาหลี:https://www.okkbus.co.jp/kr/

● รถบัสความเร็วสูง
สำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดงบการเดินทาง ขอแนะนำรถบัสความเร็วสูง แม้ว่าจะใช้เวลาในการเดินทางนานกว่าชินคันเซ็นและเครื่องบิน แต่ก็มีราคาที่ต่ำกว่าชินคันเซ็นเกินกว่าครึ่ง หรืออาจอยู่ที่เพียงไม่กี่พันเยนก็เป็นได้ ในช่วงที่ราคาถูกที่สุด คุณสามารถนั่งจากเกียวโตไปโตเกียวได้ในราคาประมาณ 1,500 เยนเท่านั้น ในกรณีที่เป็นรถวิ่งกลางคืน ก็ยังสามารถใช้เป็นที่นอนตอนกลางคืนได้ด้วย เหมาะกับทั้งผู้ที่ต้องการประหยัดงบประมาณและผู้ที่ต้องการใช้เวลาให้มีประสิทธิภาพที่สุด การได้ลองทานอาหารท้องถิ่นตามจุดพักรถ ก็ถือว่าเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่สามารถสัมผัสได้จากรถบัสความเร็วสูงเท่านั้น


หมายเหตุ: ราคาอาจแตกต่างกันไปตามฤดูกาลและจุดหมาย

เกียวโต → ฮอกไกโด(ฮาโกดาเตะ)

ชินคันเซ็น:ประมาณ 7 ชม. 20 นาที(นั่ง Tokaido Shinkansen จากสถานี Kyoto → สถานี Tokyo → สถานี Shin Hakodate Hokuto → สถานี Hakodate)
เครื่องบิน:ประมาณ 3 ชม. 50 นาที(สถานี Kyoto → สนามบินนานาชาติ Osaka (สนามบิน Itami)→ สนามบิน Hakodate → สถานี Hakodate)

เกียวโต → โตเกียว(โตเกียว)

ชินคันเซ็น:ประมาณ 2 ชม. 20 นาที(สถานี Kyoto → สถานี Tokyo)
รถบัสความเร็วสูง:ประมาณ 7 ชม.(สถานี Kyoto ทางออก Hachijo-guchi → จุดจอดรถบัสภายในสถานี Tokyo)

เกียวโต → ชินโอซาก้า(โอซาก้า)

รถไฟ:ประมาณ 25 นาที(สถานี Kyoto → สถานี Shin Osaka)

เกียวโต → ฟุกุโอกะ(ฮากาตะ)

ชินคันเซ็น:ประมาณ 2 ชม. 50 นาที(สถานี Kyoto → สถานี Hakata)
เครื่องบิน:ประมาณ 3 ชม. 20 นาที(สถานี Kyoto → สนามบินนานาชาติ Osaka(สนามบิน Itami)→ สนามบิน Fukuoka → สถานี Hakata)

เกียวโต → โอกินาว่า(นาฮะ)

เครื่องบิน:ประมาณ 4 ชม. 20 นาที(สถานี Kyoto → สนามบิน Kansai → สนามบิน Naha)

หมายเหตุ: ทั้งหมดนี้เป็นเวลาที่เร็วที่สุด ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลาของวันและสภาพการจราจร


 

เกียวโตเป็นเมืองที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี ลองมาทำความเข้าใจคู่มือฉบับสมบูรณ์นี้ เพื่อให้การท่องเที่ยวในเกียวโตของคุณราบรื่นและคุ้มค่ากันเถอะ
นอกจากนี้ ใกล้ๆ กันกับเกียวโตยังเป็นที่ตั้งของ 'โอซาก้า' เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมที่เต็มไปด้วยของอร่อยราคาถูกและแหล่งช็อปปิ้งมากมาย 'นารา' ที่มีธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์และวิวบ้านเมืองที่สัมผัสได้ถึงประวัติศาสตร์  'เฮียวโกะ' ซึ่งเป็นที่ตั้งของ 'โกเบ' เมืองท่าอันรุ่งเรือง  ไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็สามารถเดินทางไปได้อย่างสะดวกทั้งนั้น หากได้มาเกียวโตแล้ว ขอแนะนำให้ลองแวะไปเที่ยวเมืองใกล้เคียงด้วย

 

หมายเหตุ: ข้อมูลทั้งหมดเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ณ วันที่เขียน

หากคุณมีความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา รวมถึงไอเดียใหม่ๆ หรือคำถามเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น ก็สามารถทักทายเข้ามาได้ที่ FacebookTwitter, หรือ Instagram ได้เลย ! 

มนต์เสน่ห์คันไซ

เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่

รับส่วนลดมากมายในญี่ปุ่น ที่นี่!

เกี่ยวกับนักเขียน

tsunagu
tsunagu Japan
นี่คือแอ็คเคาท์ทางการของ tsunagu japan
  • แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

ค้นหาร้านอาหาร