[รีวิวจัดเต็ม] HaiDiLao ชาบูหมาล่าส่งตรงจากจีน ที่ชินจุกุ โตเกียว รอคิวแค่แป๊ปเดียว!!

HaiDiLao ชาบูหมาล่าจากประเทศจีน โด่งดังไปทั่วโลกก็ด้วยมีการบริการที่ดีเลิศ ดีเกิ๊นน ซึ่งล่าสุดได้ไปเปิดสาขาที่ประเทศไทย คนแน่นต้องรอคิวกันนานถึง 6 ชั่วโมงก็มี จึงทำให้หลายคนที่อยากจะลอง แต่ก็ไม่มีเวลาที่จะได้ไป แต่ปัญหาในการรอนั้นจะหมดไปถ้ามากินที่ญี่ปุ่น! บริการเยี่ยม รอคิวไม่นาน

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

บทความนี้อาจมีลิงก์พาร์ทเนอร์ หากคุณทำการซื้อผ่านลิงก์พาร์ทเนอร์ เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ

HaiDiLao ชาบูหมาล่าจากประเทศจีน ได้โด่งดังไปทั่วโลก เนื่องจากมีการบริการที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ ระหว่างลูกค้ารอคิว มีขนม ผลไม้ และน้ำ มาเสิร์ฟกันอย่างไม่ขาดสาย สำหรับสาวๆก็มีบริการทำเล็บให้ฟรี ส่วนถ้าใครมาเป็นครอบครัวที่มีเด็กก็จะมีโซนของเล่นเด็กให้เด็กเข้าไปเล่นได้ระหว่างรอ

รสชาติของอาหารก็ไม่ได้มาเล่นๆ ซอสก็สามารถปรุงได้ตามที่เราต้องการ ผลไม้และของหวานมีให้ตักกันแบบไม่อั้น ซึ่งตอนนี้ HaiDiLao  มีสาขาทั่วโลกมากกว่า 400 สาขา โดยล่าสุดได้ไปเปิดสาขาให้บริการในประเทศไทย ที่ชั้น 7 ของ Central World จนทำให้ผู้คนแห่กันเข้าไปใช้บริการอย่างหนาแน่น ขนาดที่ว่าต้องรอคิวกันนานถึง 6 ชั่วโมงเลยทีเดียว เพราะเหตุนี้จึงทำให้หลายๆ คนตัดใจไม่ได้ไปลองลิ้มรส แต่วันนี้ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปถ้า.......

วันนี้ tsunagu Japan จะพาทุกท่านไปลิ้มรส HaiDiLao โดยไม่ต้องรอคิวนาน แม้จะเป็นตอนเย็นวันศุกร์และไม่ได้จองไว้ล่วงหน้า เพียงท่านเดินทางมาที่ สถานีชินจูกุ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น การเดินทางก็ทำได้ง่ายนิดเดียว จองตั๋วเครื่องบิน BKK-TYO ถึงแล้วนั่ง Skyliner ลงที่สถานี Ueno แล้วต่อ Yamanote Line ลงที่สถานี Shinjuku (ชินจูกุ) เดินจากสถานีไม่ถึง 5 นาที ร้านจะอยู่ที่ตึก Daini Tao Kaikan (第二東亜会館ビル) ชั้น 6 หน้าตึกจะเห็นป้ายร้านชัดเจน (ตึกอยู่ตรงข้ามบาร์ HUB)

เรื่องจองตั๋วเดินทางนั้นล้อเล่นนะทุกท่าน เอาเป็นว่าถ้าใครมาเที่ยวโตเกียวแล้วล่ะก็ มาลิ้มลองรสชาติ HaiDiLao กันได้แบบไม่ต้องรอคิวนาน

เมื่อเดินมาถึงหน้าตึกแล้วก็อย่ารอช้า ขึ้นไปที่ชั้น 6 กันเลย! ออกมาจากลิฟต์แล้วจะเจอพนักงานต้อนรับของ HaiDiLao คอยรับรองทันทีว่ามากี่คนและได้จองไว้หรือไม่ พนักงานพูดอังกฤษได้ (แอดมินไปเย็นวันศุกร์โดยที่ไม่ได้จองไว้) แจ้งรายละเอียดกับพนักงานเสร็จเรียบร้อยก็กวาดสายตามองไปรอบๆ ด้านซ้ายเป็นตู้เก็บกระเป๋าเดินทาง และเป็นมุมทำเล็บสำหรับสาวๆ (ผู้ชายก็น่าจะทำได้) แต่ต้องลงทะเบียนรอคิวทำเล็บด้วยถ้ามีคนรอเยอะ

รับคิวมาตอน 18:04 ในระหว่างที่นั่งรอก็มีพนักงานเดินนำขนมและน้ำมาแจกอยู่เรื่อยๆ (แจกจนต้องบอกว่าพอแล้วจ้า...) รอเพียงประมาณ 20 นาทีเท่านั้นก็ได้โต๊ะแล้ว ฟังไม่ผิดแน่นอน เย็นวันศุกร์คนเยอะๆ และไม่ได้จอง รอแค่ 20 นาทีเท่านั้น!! ร้านใหญ่มากรองรับลูกค้าได้ถึง 300 คนเมื่อได้โต๊ะแล้วพนักงานจะเก็บของให้เราอย่างดี ที่ใส่ของมีผ้าปิดให้เพื่อกันเลอะ มีผ้ากันเปื้อน ผ้าเช็ดมือ แผ่นเช็ดแว่นเช็ดโทรศัพท์ให้พร้อม เก็บของเรียบร้อยก็อย่ามัวรอช้า ออเดอร์กันเลยดีกว่า

โดยในตอนแรกพนักงานจะให้เลือกว่าจะกินแบบคอร์ส (2 คนขึ้นไป) หรือจะสั่งเป็น A la carte เป็นจานๆ ไป ซึ่ง แบบคอร์สจะรวมค่าน้ำซุปเบสกับบาร์ซอสและผลไม้ไปด้วย ถ้า A la carte จะต้องเสียค่าซุป เริ่มต้น 900 เยน (ซุปหมาล่า 2200 เยน) และบาร์ซอสเพิ่มอีก 390 เยน (แอดแนะนำให้สั่งเป็นคอร์สและถ้าไม่พอค่อยสั่งเป็นจานๆ เพิ่มเอา) ซึ่งซุปเราสามารถเลือกได้ว่าจะเป็น 1, 2  หรือ 4 ซุปในหม้อเดียว อยากกินแบบหลากหลายอยู่แล้วก็จัดไปเลย หม้อ 4 ช่อง (แบบคอร์สน้ำซุปบางอย่างต้องเสียเงินเพิ่ม) เมื่อสั่งครั้งแรกเรียบร้อย ครั้งต่อไปจะสั่งอะไรก็สามารถสั่งผ่านแท็บเล็ตได้เลย (มีภาษาไทยด้วยนะ)

นั่งรออาหารไปก็มองดูบรรยากาศรอบๆ ให้ความรู้สึกบันเทิงมาก คึกคักอย่างบอกไม่ถูก เหมือนไม่ได้อยู่ในประเทศญี่ปุ่น (ต้องลองมาสัมผัส ไม่สามารถอธิบายได้) รออาหารไม่ถึง 5 นาที ก็มีของมาวางเต็มโต๊ะเล่นเอาจัดวางกันไม่ทันเลยทีเดียว คอร์สที่เลือกจะเป็น เนื้อหมูสไลด์ เนื้อวัวสไลด์ ลูกชิ้น สแปม ชุดผัก เส้น และเต้าหู้ (2980 เยน) โดยเมื่อน้ำเดือดพนักงานจะทำให้ลงอาหารและผักให้ เรารอกินอย่างเดียว แต่ถ้าอยากจะถ่ายรูปให้หนำใจก็สามารถแจ้งพนักงานได้ว่าจะลงอาหารเอง เมื่ออาหารมาเรียบร้อยหมดแล้วก็ได้เวลาไปทำซอสของตัวเองกันแล้ว

บาร์ซอสมีเครื่องปรุงให้เลือกมากมาย จนอยากจะลองใส่ไปซะทุกอย่าง (มีเครื่องเคียงต่างๆ ให้ด้วย) หรือถ้าใครเลือกไม่ถูกทางร้านก็มีสูตร TOP 3 แนะนำ สามรถปรุงตามได้ง่ายๆ แม้จะอ่านไม่ออกก็ตามเนื่องจากมีเบอร์ไว้ให้ดู เช่น สูตรที่นิยมมากที่สุดคือ เบอร์7 ซอสทะเล, เบอร์9 ซอสเห็ด และเบอร์11 ซอสสูตรเฉพาะของทางร้าน สามซอสอย่างละ 1 ช้อน และใส่ เบอร์3 ผักชี, เบอร์4 กระเทียม หรือเบอร์5 หอมซอย ตามใจชอบ เมื่อได้ซอสที่ต้องการแล้ว ก็มาลุยกันเลย

เริ่มจากค่อยๆ บรรเลงนำผักลงไปในหม้อ ตามด้วยลูกชิ้น และสแปม ส่วนเนื้อสัตว์ต่างๆ ไม่ควรจะใส่ลงไปในทีเดียวเนื่องจากจะทำให้เนื้อแข็งเกินไป ความฟินจะลดลงกว่าครึ่ง ระหว่างที่กำลังรับประทานกันอยู่นั้น ก็จะมีการแสดงให้ความบันเทิงกับลูกค้าอยู่เรื่อยๆ  เช่น มีคนแต่งตัวในชุดจีนเดินรำพัดไปทั่วร้าน หรือจะเป็น กังฟูแมนที่จะคอยไปที่โต๊ะที่สั่งเส้นสดเพิ่ม (เต้นยืดเส้นโชว์ มีลำโพงส่วนตัวแบกมาด้วยกัน)

เห็นกระนั้นแล้วแอดก็ไม่รอช้า กดสั่งกังฟูเส้นสดเพิ่มทันที ราคา 390 เยน ไม่นานพนักงานก็เดินมาถึง และวางลำโพงไว้ที่โต๊ะของเราและเริ่มบรรเลงลีลากังฟูควงเส้น (หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายแทบไม่ทัน) เส้นสดยาวมาก พนักงานเต้นหมุนวนอยู่สักพักก็ทำการแบ่งเส้นให้ไม่ยาวเกินไป และมอบให้กับเรา เส้นสดรสชาติดี เหนียวนุ่ม ต้มเพียง 3 นาทีก็กินได้แล้ว

อีกอย่างที่เป็นไฮไลท์ (ของแปลก) ของที่นี่เลยก็คือ "สมองแกะ" ที่ต้องลองสักครั้งว่ารสชาติมันจะเป็นอย่างไร กดจิ้มไปในทันที และเมื่อสมองแกะมาเสิร์ฟทุกคนต้องอุทานไปในเสียงเดียวกันเลยว่า "หยึยยยยยยย" แต่สั่งมาแล้วก็ต้องลองก่อนหน่อยแล้วล่ะ

พนักงานแนะนำว่าต้มในซุปหมาล่าจะอร่อยที่สุด ใช้เวลาต้ม 15 นาทีถึงจะกินได้ อย่ารอช้าเริ่มจับเวลากันได้เลย เมื่อต้มสุกแล้วมันก็จะหน้าตาประมาณนี้ จิ้มกินกับเครื่องเคียงพริก พอกินเข้าไปแล้วมันก็จะรู้สึกถึงความมันๆ อย่างบอกไม่ถูก ถ้าหลับตากินก็บอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร เป็นรสชาติที่ไม่เคยเจอมาในชีวิต (ต้องลองเอง)

เดินทางมาถึงช่วงท้าย แต่รู้สึกว่ายังไม่สุด ขอสั่งเครื่องในเพิ่มสักหน่อย เห็นว่าที่นี่เครื่องในสดมาก กดจิ้มกระเพาะหมู และกระเพาะวัว มาลองอย่างละจาน ซึ่งถือว่ารสชาติดีเลยทีเดียว (ซุปหมาล่าเข้ากันมากที่สุด)

มาถึงจุดนี้ถ้าใครยังไม่หนำใจ แต่ไม่อยากเสียตังเพิ่มแล้ว แอดแนะนำให้ไปที่บาร์ซอส ทำซอสเนื้อเข้มข้นตามสูตรที่แอดจะบอกต่อไปนี้ เนื้อสับ ซอสทะเล ซอสหมาล่า ซอสเห็ด  หอมใหญ่ซอย กระเทียม พริกสด พริกเผา เสร็จแล้วก็จะได้หน้าตาแห้งๆ หน่อยประมาณนี้เลย ราดทานกับข้าวหรือจะนำหมูลงไปคลุกก็ได้เช่นกัน รับรองเด็ด (คนไม่กินเผ็ดตัดพริกสดออกได้)

สุดท้ายจบของคาวแล้วก็ต้องแก้เลี่ยนด้วยผลไม้กันสักหน่อย วันที่แอดไปมี ลูกพลับ กล้วย ส้ม ลิ้นจี่ กินเท่าไหร่ก็ได้ไม่อั้น แต่ช่วงท้ายแล้วกล้วยกับลูกพลับอาจจะหนักเกินไป ขออะไรที่เปรี้ยวๆ สักหน่อยจะดีกว่า เลยจัดส้มกับลิ้นจี่มาอย่างละจาน รสชาติดีเลยทีเดียว แต่ลิ้นจี่จะเป็นแบบแช่เข็ง (นำเข้ามา) เนื่องจากที่ญี่ปุ่นไม่มีการปลูกลิ้นจี่ แต่นอกจากนี้แอบแถมกิมจิมาอีกสักถ้วยดีกว่า (รสชาติดีเลยทีเดียว)

หลังจากกินกันจนอิ่มหนำสำราญแล้วก็มาเช็คบิลกัน แอดไปกัน 4 คน ค่าเสียหายรวมภาษี 15,520 เยน ตกคนละ 3,880 เยน (ประมาณ 1,100 บาท) ก็ถือว่าเป็นราคาที่คุ้มค่ากับการบริการและคุณภาพของอาหาร ลูกค้าเต็มร้าน 300 คนแต่อาหารมาเร็วมาก (ยกเว้นกังฟูราเมง อาจจะต้องรอพนักงานไปเต้นตามโต๊ะอื่นๆ สักนิด) ถ้าใครไม่อยากไปรอคิวนานๆ และมีโอกาสได้มาเที่ยวโตเกียวพอดีก็อย่าลืมแวะมา HaiDiLao สาขาชินจูกุกันนะครับ อ้อลืมบอกไปว่าที่โตเกียวก็ยังมี ​HaiDiLao สาขาอิเคบุคุโระด้วยนะ

ส่วนรีวิวจัดเต็มต่อไป tsunagu Japan จะพาไปชิมไปช็อปไปเที่ยวที่ไหนก็รอติดตามชมกันได้เลย วันนี้ขอลาไปก่อน สวัสดี

มนต์เสน่ห์คันโต

เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่

รับส่วนลดมากมายในญี่ปุ่น ที่นี่!

เกี่ยวกับนักเขียน

Mewvy
Mewvy
ผมอยู่โตเกียว ญี่ปุ่นมา 9 ปีกว่าแล้ว ชอบท่องเที่ยวเที่ยว ชอบหาอะไรลองสิ่งใหม่ๆ และชอบประเทศญี่ปุ่นมากๆ เลยอยากจะแชร์ประสบการณ์ที่อาจจะไม่ได้พบเจอทั่วไป ให้คนที่มาเที่ยวญี่ปุ่นได้ไปลองไปเห็นกัน
  • แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

ค้นหาร้านอาหาร