【ที่พักในโตเกียว】การพักผ่อนดีๆ เริ่มต้นที่ MUJI HOTEL GINZA! คัมภีร์เจาะลึก MUJI ฉบับสมบูรณ์

มูจิ (MUJI) เป็นสินค้าแบรนด์ญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ทางบริษัทเปิดตัว MUJI HOTEL เป็นครั้งแรกที่เมืองเซินเจิ้นและปักกิ่งในประเทศจีน จากนั้นในเดือนเมษายนปี 2019 MUJI HOTEL GINZA ก็ได้เปิดทำการขึ้นในฐานะร้านเรือธง ณ เขตกินซ่าในกรุงโตเกียว ตัวสถานที่รวบรวมเสน่ห์และเอกลักษณ์ของมูจิอยู่ในอาคารสูง 10 ชั้น โดยชั้น 1-6 เป็นส่วนของร้านค้า และชั้น 7-10 (รวมถึงบางส่วนของชั้น 6) จะเป็นเขตโรงแรม นับว่าเป็นร้านในเครือมูจิที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยทีเดียว ถ้ามีโอกาสได้ไปเที่ยวโตเกียวก็ต้องลองไปเข้าพักกันดูสักครั้งแล้ว!

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

บทความนี้อาจมีลิงก์พาร์ทเนอร์ หากคุณทำการซื้อผ่านลิงก์พาร์ทเนอร์ เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ

ร้านเรือธงที่ใหญ่ที่สุดในโลก "MUJI สาขากินซ่า"

ในปัจจุบัน (ปี 2019) MUJI มีหน้าร้านอยู่กว่า 400 สาขาทั่วประเทศญี่ปุ่น ตัวร้านที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ตั้งอยู่ในย่านสุดหรูใจกลางเมืองอย่างกินซ่า เป็นจุดวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการของ MUJI ที่มุ่งจะอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตให้กับผู้บริโภค และสร้างขึ้นในสเกลใหญ่แบบที่อดีตร้านเรือธงอย่างสาขา Yurakucho ก็เทียบไม่ติด เมื่อมองจากภายนอกจะเห็นโลโก้ของ MUJI ขนาดใหญ่วางตัวอย่างสวยงามอยู่บนตึกสูง 10 ชั้น นอกจากจะมีชื่อเสียงในฐานะ MUJI HOTEL GINZA แล้ว สินค้าบางไลน์ของ MUJI ก็สามารถหาซื้อได้เฉพาะในสาขานี้เท่านั้น จึงเป็นร้านที่ได้รับความสนใจจากทั้งภายในและภายนอกประเทศญี่ปุ่นอยู่ไม่น้อย

แล้วเจ้า MUJI สาขากินซ่ากับ MUJI HOTEL GINZA ที่ว่านี่มีอะไรดีกันล่ะ? ครั้งนี้ Tsunagu Japan จะมาพาไปบุกตึกกันตั้งแต่ชั้น 1 ยันชั้น 10 เอาให้ได้รู้กันถึงไส้ถึงพุงกันไปเลย!

จุดเด่นของแต่ละชั้นใน MUJI สาขากินซ่า

MUJI Diner (ชั้นใต้ดิน B1)

ภัตตาคารแห่งแรกของ MUJI หรือ MUJI Diner เป็นร้านอาหารซึ่งยึด "วัตถุดิบธรรมชาติ" "ความเพลิดเพลิน" "ความดั้งเดิม" และ "การแบ่งปัน" เป็นคอนเซ็ปท์ประจำตัว ภายในร้านกว้างขวาง รองรับลูกค้าได้ถึง 118 ที่นั่ง เสิร์ฟเมนูโดยเน้นใช้พืชผักตามฤดูกาลประกอบกับปลาและเนื้อสัตว์จากทั่วเกาะญี่ปุ่น

เชฟของที่นี่เรียนรู้วัฒนธรรมการกินดื่มและการปรุงอาหารมาจากทั่วประเทศ เน้นทำอาหารแบบเรียบง่าย ใช้เครื่องปรุงเพียงเล็กน้อยและปราศจากสารกันบูด นอกจากนี้ยังพยายามคงรสของผักและผลไม้ที่นำมาใช้ให้ได้รสชาติดั้งเดิมให้มากที่สุดอีกด้วย เรียกได้ว่าไม่ได้ใส่ใจเฉพาะคุณภาพของวัตถุดิบเท่านั้น แต่ยังมีวิธีการปรุงที่พิถีพิถันเป็นอย่างมาก ท้ายที่สุดจึงได้ออกมาเป็นอาหารจานเลิศให้เราได้ลิ้มรสกันนั่นเอง

เบเกอรี่ (ชั้น 1)

แม้ว่าจะเรียกรวมๆ กันว่า MUJI สาขากินซ่า แต่ร้านรวงแต่ละส่วนภายในก็มีเวลาเปิดทำการที่แตกต่างกัน โดยส่วนที่เปิดให้บริการไวที่สุดจะเป็นชั้น 1 ซึ่งทุกเช้าประมาณเจ็ดโมงครึ่งเราจะได้เห็นขนมปังอบใหม่หอมๆ วางเรียงราย โดยเมนูที่ได้รับความนิยมมากจะเป็นขนมปังโรลจากแป้งญี่ปุ่นนุ่มๆ ดึ๋งๆ ที่สามารถรับประทานได้ไม่ว่าจะเป็นเช้าแบบไหน ราคาเองก็แสนถูกเพียง 90 เยนเท่านั้น คนที่สั่งเป็นเซตกับกาแฟสักแก้วเพื่อรับเช้าวันใหม่ก็มีไม่น้อยเช่นกัน

※ ช่วงเวลาโดยประมาณที่ขนมปังอบใหม่จะถูกนำออกจากเตา: 7:30, 10:00, 12:00, 14:30, 16:00 และ 18:00 น. (อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้)

สลัดเคาน์เตอร์ ร้านน้ำผลไม้ และมุมข้าวกล่องเบนโตะ (ชั้น 1)

ถัดจากร้านเบเกอรี่ไปเล็กน้อยเราจะพบกับโซนขายของสด โซนนี้จะมีผักและผลไม้สีสันสดใสวางขายอยู่ถึง 30 - 50 ชนิด และทั้งหมดก็ล้วนแต่เป็นผลผลิตที่ได้จากการปลูกแบบออร์แกนิกและปราศจากสารพิษทั้งสิ้น หากรู้สึกอยากจะเติมสารอาหารที่ขาดหายไปจากการท่องเที่ยวก็สามารถแวะมาจับจ่ายกันได้

นอกจากนี้มุมข้าวกล่องและชั้นน้ำผลไม้เองก็ตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน เบนโตะหรือข้าวกล่องของที่นี่จะถูกทำสดใหม่ทุกวัน รสชาติอร่อยแบบดั้งเดิมไร้สารปรุงแต่ง ส่วนน้ำผลไม้จะทำจากพืชผักตามฤดูกาลต่างๆ และได้รสชาติตัวผลไม้กันแบบเต็มๆ สำหรับสายรักสุขภาพก็สามารถไปลิ้มลองกันได้ในราคาเพียง 350 เยน (ไซส์ S) และ 480 เยน (ไซส์ M) เท่านั้น!

ขนมหวาน (ชั้น 1)

ถัดไปอีกก็จะเป็นโซนของว่าง โดยขนมที่เป็นที่นิยมที่สุดจะได้แก่ ① เค้กบามคูเฮนชาฝรั่ง (Baumkuchen Tea: 150 เยน) ② เค้กบามคูเฮนกล้วย (Baumkuchen Banana: 150 เยน) และ ③ สตรอว์เบอร์รี่เคลือบไวท์ช็อกโกแลต (White Chocolate Strawberry: 290 เยน) โดยบนแพ็คเกจจะเขียนคำว่า "不揃い" (แปลว่า ไม่เรียบ ไม่สม่ำเสมอ) เพราะว่าขนมของที่นี่จะไม่มีการปรับแต่งตัวขนมหรือวัตถุดิบเพื่อรูปลักษณ์ แต่จะถูกนำมาใช้โดยคำนึงเพียงว่าไม่ให้มีผลต่อรสชาติหรือรสสัมผัสดั้งเดิมของขนมเท่านั้น ความใส่ใจเช่นนี้เองก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ขนมของ MUJI ได้รับความชื่นชอบจากผู้บริโภคเรื่อยมา

โรงงานน้ำชา (ชั้น 1)

เพียงก้าวแรกที่เข้าไปในร้านเราก็จะได้เห็นกับชั้นไม้ที่ตั้งตระหง่านสะดุดตา ของที่วางอยู่บนชั้นจะเป็นใบชาและถุงชา 32 ชนิดที่ผสมขึ้นโดยใช้ชาเขียว โฮจิฉะ (ชาเขียวคั่ว) และชารอยบอสเป็นเบส ขายโดยคิดราคาตามน้ำหนัก และสามารถเลือกประเภทของชาได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็นแบบที่ดื่มแล้วสดชื่น แบบที่ช่วยผ่อนคลาย แบบที่ดื่มคู่กับมื้ออาหารหรือแบบที่เอาไว้ดื่มก่อนนอน เป็นอีกหนึ่งบริการที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไม่น้อยทีเดียว

พนักงานในร้านเองก็สามารถแนะนำสินค้ายอดนิยมหรือจุดเด่นของชาแบบต่างๆ ให้ได้ จะลองชิมก่อนแล้วค่อยเลือกซื้อไปก็ไม่ว่ากัน

ถ้าจ่ายเพิ่มสัก 300 เยนก็จะได้กระป๋องชามาให้ตกแต่งด้วยตัวปั๊มน่ารักๆ กันได้ตามชอบ จะซื้อกลับไปวางสวยๆ ที่บ้านก็ดี หรือใช้เป็นของฝากก็ย่อมได้

Klook.com

เครื่องเขียนและของใช้ในสำนักงาน (ชั้น 3)

ที่ชั้น 3 จะมีเครื่องเขียนและของใช้ในสำนักงานวางอยู่ละลานตา สินค้าแต่ละอย่างล้วนออกแบบอย่างเรียบง่ายแต่สามารถใช้งานได้ดี แถมยังมีสินค้าแปลกๆ น่าตื่นตาตื่นใจอยู่หลากหลาย เมื่อมาวางเรียงกันแล้วก็ดูคล้ายกับงานศิลปะสักชิ้น แสดงเอกลักษณ์ของ MUJI ให้ได้เห็นชัดๆ กันไปอีก จะเป็นคนใจแข็งแค่ไหนถ้าได้มาเดินเล่นที่ชั้นนี้ดูสักหน่อยก็ต้องมีกระเป๋าตังค์สั่นๆ กันบ้างแน่นอน

ถ้าหากซื้อสมุดโน้ตหรือสมุดพกจากที่นี่ก็สามารถใช้ตัวปั๊มต่างๆ ในร้านเพื่อตกแต่งได้ด้วย จะทำไว้เป็นที่ระลึกว่าได้มาเยือน MUJI สาขากินซ่าก็ไม่เลวเลย

Found MUJI (ชั้น 4)

ในชั้น 4 ซึ่งเป็นชั้นของเครื่องครัวและของใช้ต่างๆ จะมีมุมหนึ่งที่สะดุดตาเป็นพิเศษก็คือ Found MUJI แต่เริ่มเดิมที MUJI เป็นแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับการค้นหาของดีต่างๆ จากทั่วทุกมุมโลกมาปรับแต่งใหม่ให้เหมาะกับวิถีชีวิตของผู้คนและยุคสมัย เมื่อไปอยู่ในมือของใครสักคนแล้ว สินค้าของ MUJI จึงล้วนแล้วแต่เป็นของที่ใช้ได้นานทั้งสิ้น

MUJI BOOKS และเคาน์เตอร์งดเว้นภาษี (ชั้น 4)

MUJI BOOKS เป็นสถานที่ซึ่งคัดเลือกหนังสือชื่อดังต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเกี่ยวกับอาหาร หนังสือภาพ นวนิยาย หรือหนังสือต่างประเทศไว้กว่า 5,000 เล่ม และยังสามารถหาซื้อหนังสือเก่าๆ ได้ด้วย

นอกจากนี้ที่ชั้นเดียวกันก็ยังมี Tax-Free Counter ให้บริการด้วย ถ้าใครอยากจะซื้อสินค้างดเว้นภาษีก็อย่าลืมแวะมาล่ะ!

ATELIER MUJI GINZA (ชั้น 6)

เมื่อเราขึ้นไปยังชั้น 6 ก็จะได้พบกับ ATELIER MUJI GINZA ซึ่งเป็นเหมือนสถานที่จัดนิทรรศการและจัดแสดงงานออกแบบต่างๆ โดยพื้นที่จัดแสดงจะถูกแยกออกเป็น 2 แกลลอรี่ ส่วนแรกจะจัดแสดงโดยทั่วไป และอีกส่วนจะเปลี่ยนงานที่จัดแสดงทุกๆ 3 เดือน นับเป็นบริเวณสำหรับถ่ายทอดวัฒนธรรมการออกแบบของ MUJI ให้บรรยากาศสบายๆ และสามารถเดินชมได้เพลินๆ

Library (ชั้น 6)

ภายในล็อบบี้จะมีชั้นวางหนังสืออยู่ โดยจุหนังสือประมาณ 500 เล่มที่คัดเลือกมาภายใต้ธีม มุมมองของญี่ปุ่น และมีการแบ่งย่อยลงไปเป็น ลองเข้าไปใกล้ๆมองลงมาจากสายตาของนก,วนเวียนรอบกินซ่า และอื่นๆ รวม 10 ประเภท เป็นที่รวบรวมหนังสือทั้งของญี่ปุ่น หนังสือต่างประเทศ และหนังสือเก่าๆ ที่จะช่วยให้เราได้สัมผัสกับประเทศญี่ปุ่นกันแบบถึงไส้ถึงพุง จะหยุดพักสักนิดมานั่งบนโซฟากว้างๆ และจมไปกับโลกแห่งหนังสือก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย

Salon (ชั้น 6)

สำหรับใครที่ต้องการสถานที่สงบๆ ก็ต้องเป็นที่ Salon ที่นี่มีเคาน์เตอร์ที่ทำจากไม้อายุ 400 ปีและโต๊ะวางกระจายๆ ให้เราได้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ ถ้าใครอยากจะจิบอะไรสักหน่อยก็สามารถสั่งกาแฟ ชาฝรั่ง หรือค็อกเทลแบบต่างๆ ได้ด้วย

WA (ชั้น 6)

WA เป็นภัตตาคารอาหารของ MUJI HOTEL GINZA ที่จะให้เราได้ลิ้มรสชาติพื้นบ้านของญี่ปุ่นอย่างแท้จริง ส่วนผสมที่ใช้ล้วนแล้วแต่ถูกหล่อเลี้ยงด้วยดินฟ้าอากาศที่อุดมสมบูรณ์ของประเทศญี่ปุ่น และพ่อครัวของที่นี่ก็มักจะแวะเวียนไปตามสถานที่ต่างๆ รอบเกาะเพื่อหาเมนูท้องถิ่นต่างๆ มาให้เราได้ลิ้มลองกันอยู่เสมอ

ตัวภัตตาคารเป็นสีดำและมันวาว ทำมาจากแผ่นเหล็กของเรือเก่าๆ ซึ่งออกแบบการจัดวางอย่างสวยงามและให้บรรยากาศสบายๆ

เมนูที่จะพลาดไม่ได้ของที่นี่ก็คือ Osakana no Ozen (1,600 เยน) และ WA Sushi Ozen (2,000 เยน) ไม่ว่าจะจานไหนก็ล้วนมีการจัดวางที่ประณีตและแฝงด้วยกลิ่นอายของฤดูกาล ณ ขณะนั้นอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ตัวอาหารก็มีกลิ่นหอมและสีสันสดสวยน่ารับประทานเรียกน้ำลายได้เป็นอย่างดี เรียกว่ารับประทานแล้วนอกจากจะอิ่มท้องก็ยังอิ่มใจไม่แพ้กัน สำหรับช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายนปี 2019 จะมีเมนูพิเศษที่ใช้วัตถุดิบจากยามากาตะ (Yamagata) และ Osakana no Ozen ก็เป็นหนึ่งในนั้นนั่นเอง

MUJI HOTEL GINZA เยือนญี่ปุ่น!

และแล้วก็มาถึงพระเอกของเรากับ MUJI HOTEL GINZA

ที่นี่ถูกออกแบบมาเพื่อปรับสมดุลระหว่างการรับประทานอาหารและการหลับพักผ่อนให้สมบูรณ์แบบ แผนกต้อนรับของทางโรงแรมจึงถูกจัดวางให้อยู่ถัดจากภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นอย่าง WA นั่นเอง และขอบอกว่าตัวกำแพงด้านหลังเคาน์เตอร์ต้อนรับที่เราเห็นในรูปด้านบนนั้นทำมาจากหินปูรางของรถไฟที่วิ่งอยู่ในโตเกียวเมื่อกว่า 100 ปีก่อนเลยทีเดียว

ทางโรงแรมมีห้องทั้งหมด 9 ประเภท รวม 79 ห้อง สร้างขึ้นภายใต้คอนเซปท์ Anti-gorgeous, Anti-cheap หรือ ไม่หรูหราแต่ก็ไม่ถูก แม้จะอยู่ในย่านไฮโซอย่างกินซ่า แต่มุ่งเน้นไปที่การคงความเป็นชีวิตประจำวันให้แขกที่เข้าพักได้มีความรู้สึกเหมือนได้กลับบ้านมากกว่า สำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว ที่นี่ก็เป็นทั้งประตูสู่โตเกียวและทางหนีจากความวุ่นวายของโตเกียวด้วยในเวลาเดียวกัน

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

ประเภทของห้องพัก

ห้อง TYPE C ที่เราเข้าพักในครั้งนี้เป็นห้องแบบที่มีเยอะที่สุดในโรงแรม (รวม 44 ห้อง) เตียงจะวางอยู่บนพื้นที่ยกระดับขึ้นเล็กน้อยทำให้ห้องดูกว้างขึ้นและให้ความรู้สึกเหมือนได้อยู่บ้าน

※TYPE C เป็นห้องแบบ Double Bed สามารถนอนได้ 2 คน ราคาคืนละ 29,900 เยนต่อห้อง
 

เราจะสามารถควบคุมทุกอย่างทั้งความสว่างของห้อง อุณหภูมิเครื่องปรับอากาศ ไปจนถึงเปิดปิดหน้าต่างได้จากบนเตียง ของใช้ที่มีให้ในห้องเองก็น่าสนใจ ทุกอย่างตั้งแต่ถุงน้ำชา แปรงสีฟัน ชุดนอน และเครื่องเพิ่มความชื้นในอากาศล้วนเป็นผลิตภัณฑ์ของ MUJI ทั้งสิ้น พวกอุปกรณ์อาบน้ำก็สามารถนำกลับบ้านได้ไม่จำกัด นอกจากนี้ถ้าใช้อะไรไปแล้วติดใจก็สามารถลงไปซื้อที่ชั้นล่างได้ทันที นับว่าเป็นแผนการตลาดที่ฉลาดไม่เบาเลยทีเดียว

สำหรับใครที่มาเป็นครอบครัวก็จะมีห้อง TYPE G ซึ่งเป็นห้องแบบเตียง 2 ชั้น สามารถนอนได้สูงสุด 3 คน (ราคาคืนละ 29,900 เยนต่อห้อง ในกรณีที่เข้าพัก 3 คนจะเสียค่าบริการเพิ่ม 5,000 เยน) ชั้นหนังสือที่อยู่ติดกำแพงก็จะมีหนังสือที่เกี่ยวข้องกับ Kachoufugetsu วางเรียงราย

 

※ Kachoufugetsu (花鳥風月) เป็นคำรวมสำหรับเรียกสิ่งสวยงามในธรรมชาติ แปลตรงตามตัวอักษรว่าดอกไม้ นกน้อย สายลม และพระจันทร์

TYPE I เป็นห้องขนาดใหญ่ที่สุดของ MUJI HOTEL GINZA ห้องอาบน้ำจะมีอ่างอาบน้ำสุดหรู มีเตียงแบบ Double Bed 2 เตียง พักได้ทั้งหมด 4 คน ราคาคืนละ 55,900 เยนต่อห้อง (เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม 5,000 เยนถ้าพัก 3 คน และ 10,000 เยนเมื่อพัก 4 คน)

ลองพิจารณางบกับความต้องการแล้วก็ไปตามหาห้องที่ใช่ที่นอนที่ชอบกันได้เลย!

Klook.com

ที่พักสุดเพียบพร้อมกลางโตเกียว!

MUJI HOTEL GINZA เป็นโรงแรมใหม่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของ MUJI อยู่อย่างเต็มเปี่ยมและมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งในและนอกญี่ปุ่น ถ้าเหนื่อยกับการเดินเบียดคนในกินซ่าแล้วก็ลองแวะมาสัมผัสกับโลกของ MUJI กันสักหน่อย รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน!

หากมีคำถาม คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา สามารถติดต่อและติดตามเราผ่านทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ได้เลย !

มนต์เสน่ห์คันโต

เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่

รับส่วนลดมากมายในญี่ปุ่น ที่นี่!

เกี่ยวกับนักเขียน

KAEI
KAEI LIN
ดิฉันเป็นชาวไต้หวันค่ะ อาศัยอยู่ที่่โตเกียวมาเป็นปีที่ 4 แล้วค่ะ อยากจะถ่ายทอดเสน่ห์ของประเทศญี่ปุ่นผ่านบทความภาษาจีนของดิฉัน
  • แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

ค้นหาร้านอาหาร