พาครอบครัวเที่ยว เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติใน "สวนยาคุชิอิเกะ ชิคิไซ โนะ โมริ" เมืองมาจิดะ

หากคุณเคยเดินทางไปญี่ปุ่นมาหลายครั้งแล้ว ก็คงจะมีความคิดอยากไปสัมผัสสถานที่ท่องเที่ยวดีๆ ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักกันบ้าง ถ้าอย่างนั้นก็ลองไปเที่ยวในสวนที่ไม่ได้มีแค่ธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ แต่ยังมีกิจกรรมต่างๆ อย่างตลาด Farmer Market, คาเฟ่, ร้านอาหาร, ห้องสมุด และงานอีเวนต์ที่น่าสนใจดูสิ! ในบทความจากซีรีส์ Area of Japan ฉบับนี้ เราจะพาคุณไปพบกับ "สถานที่แนะนำสำหรับเที่ยวกับเพื่อนและครอบครัวที่สามารถไปได้หลายๆ ครั้ง" อย่าง "สวนยาคุชิอิเกะ พาร์ค ชิคิไซ โนะ โมริ" ที่ตั้งอยู่ในชานเมืองโตเกียวกัน คุณจะได้เที่ยวและผ่อนคลายไปกับคนที่รัก ดังนั้น หากมีโอกาสมาญี่ปุ่นแล้วล่ะก็ บอกเลยว่าไม่ควรพลาด!

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

บทความนี้อาจมีลิงก์พาร์ทเนอร์ หากคุณทำการซื้อผ่านลิงก์พาร์ทเนอร์ เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ

มารู้จัก "สวนยาคุชิอิเกะ พาร์ค ชิกิไซ โนะ โมริ" แห่งเมืองมาจิดะกันเถอะ

"สวนยาคุชิอิเกะ พาร์ค ชิคิไซ โนะ โมริ" (Yakushiike Park Shikisai no Mori) เป็นสวนที่อยู่ในความดูแลของเมืองมาจิดะ มีพื้นที่รวมกว่า 141,654 ตารางเมตร ซึ่งถือว่าใหญ่กว่า "โตเกียวโดม" (Tokyo Dome) ถึงสามเท่า ในสวนมีการแบ่งโซนย่อยอยู่ทั้งหมด 9 โซน ได้แก่

  • สวนสไตล์ตะวันตก (Western Garden) ที่เป็นประตูต้อนรับ
  • สวนสาธารณะยาคุชิอิเกะ (Yakushiike Park)
  • ซาลอนถ่ายรูปเมืองมาจิดะ (Machida City Photo Salon)
  • สวนดอกโบตั๋นมาจิดะ (Machida Peony Garden)
  • สวนมาจิดะ เอบิเนะ (Machida Ebine-en)
  • สวนกระรอกมาจิดะ (Machida Squirrel Garden) ที่มีกระรอกแสนน่ารักกว่า 200 ตัว
  • สวนดอกดาห์เลียมาจิดะ (Machida Dahlia Gardens)
  • ตลาดนานะคุนิยามะ ฟาร์เมอร์ เซ็นเตอร์ (Nanakuniyama Farmer Center)
  • พิพิธภัณฑ์อุปกรณ์ทำการเกษตร (Hometown Agricultural Tools Museum)

สวนแห่งนี้มีนักท่องเที่ยวปีละกว่า 700,000 คนทั้งจากในเมืองและนอกเมือง ทุกคนต่างพากันมาชมความงดงามของธรรมชาติและทิวทัศน์ฤดูกาลทั้ง 4 อีกทั้งตัวสถานที่ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทำให้คุณสามารถใช้เวลาผ่อนคลาย และเพลิดเพลินกับประสบการณ์อันแสนวิเศษจากมนต์เสน่ห์ของสวนแห่งนี้ได้ทั้งวัน

ในบทความนี้ เราจะมาแนะนำพื้นที่ต่างๆ ของสวนแห่งนี้กัน โดยจะเน้นหนักที่โซนไฮไลท์ทั้ง 2 โซน คือ "สวนสไตล์ตะวันตก" และ "สวนยาคุชิอิเกะ" ที่เราได้ส่งทีมงานไปสำรวจกันมาแบบเจาะลึก!

ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของสวนยาคุชิอิเกะฯ แห่งนี้ คือ ทำเลที่ตั้งซึ่งอยู่ในจังหวัดคานางาวะที่อยู่ทางใต้สุดของโตเกียวพอดี เมืองมาจิดะมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์มาก รับรองว่าหากคุณได้แวะมา ก็จะต้องประหลาดใจที่ได้รู้ว่ามีพื้นที่สงบสุขอย่างนี้อยู่แถวชานเมืองของหนึ่งในมหานครที่ได้ชื่อว่ามีคนพลุกพล่านมากที่สุดในโลกอย่างโตเกียวด้วยแน่ๆ แต่ความจริงแล้ว นี่ก็เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้มีผู้คนเดินทางมาผ่อนคลายกันอย่างล้นหลามเลยล่ะ

นอกจากนี้ "สถานีมาจิดะ" (Machida Station) ก็ตั้งอยู่ใจกลางเมืองพอดี คุณสามารถเดินทางจากสถานีชินจูกุ, สถานีชิบูย่า, และสถานีโยโกฮาม่าไปถึงได้ในเวลาเพียง 30 นาที ที่นี่มีทั้งศูนย์การค้า, ร้านอาหาร, คาเฟ่ รวมถึงร้านค้าเล็กๆ อีกมากมายอยู่ใกล้สถานี แต่หากคุณเดินเลยไปอีกนิดหน่อยก็จะพ้นย่านที่มีตึกสูงๆ และคนพลุกพล่านไป แล้วพบกับพื้นที่เนินขนาดใหญ่ สวนสีเขียว และไร่ผัก ซึ่งจะทำให้คุณได้ค้นพบว่าเมืองมาจิดะแห่งนี้เป็นสถานที่ที่คุณจะได้พบกับความบาลานซ์ระหว่างความสะดวกสบายในสังคมเมืองและโลกของธรรมชาติที่ผสานกันอย่างลงตัว

วิธีเดินทางไปยัง "สวนยาคุชิอิเกะ พาร์ค ชิคิไซ โนะ โมริ"

คุณสามารถนั่งรถไฟด่วนสาย Odakyu Odawara (Rapid Express) จากสถานีชินจูกุไปยังสถานีมาจิดะได้ในเวลาประมาณ 30 นาที จากนั้นก็ออกทางประตูเหนือ แล้วเดินไปยังจุดขึ้นรถบัสที่อยู่นอกตึก Machida POP Building จากนั้นก็ขึ้นรถบัสหมายเลข 21 ที่วิ่งผ่าน Honmachi (本町田) เพื่อไปยัง Tsurukawa (鶴川) หรืออีกวิธีหนึ่งก็คือ นั่งรถบัสที่วิ่งผ่าน Honmachi สายที่มุ่งหน้าไปยัง Nozuta Bus Depot (野津田車庫) แล้วลงที่ป้าย Yakushiike (薬師池) หรือ Yakushigaoka (薬師ヶ丘)

รถบัสของ Kanagawa Chuo Kotsu Co., Ltd. ใช้เวลาเดินทางจากสถานีมาจิดะไปยังป้าย Yakushiike ประมาณ 30 นาที แต่ก็อาจจะมีความคลาดเคลื่อนบ้างเล็กน้อยตามสภาพการจราจร และสำหรับคนที่ต้องการชม "สวนสไตล์ตะวันตก" (ประตูต้อนรับ) หรือ "สวนดอกดาห์เลีย" เราขอแนะนำให้ลงที่ป้าย Imaiyato (今井谷戸)

คลิกที่นี่ เพื่ออ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการชมสวน

เนื่องจากสวนแห่งนี้มีโซนที่ไม่ซ้ำกันอยู่มากมาย เราจึงขอแนะนำให้ตรวจสอบข้อมูลล่าสุดบนเว็บไซต์ก่อนเดินทางด้วย  เพราะพื้นที่บางแห่งของสวน อย่าง "สวนดอกโบตั๋นมาจิดะ" และ "สวนมาจิดะ เอบิเนะ" จะเปิดเฉพาะช่วงที่ดอกไม้บานเต็มที่เท่านั้น

สวนสไตล์ตะวันตก (Western Garden) หมู่บ้านบนภูเขา แหล่งรวมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตั้งอยู่บนเนิน

สวนแห่งนี้เปิดตัวขึ้นในเดือนเมษายน ค.ศ. 2020 ทำหน้าที่เป็นทั้งทางเข้าและพื้นที่ประชาสัมพันธ์ของสวนยาคุชิอิเกะฯ ทั้งหมด คุณสามารถสอบถามข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับสวนได้ เช่น ช่วงเวลาที่ดอกไม้บานเต็มที่, งานอีเวนต์ที่จัดอยู่, การเดินทางไปยังพื้นที่ต่างๆ ของสวน ฯลฯ เรียกได้ว่า เปรียบเสมือนบริการต้อนรับของพนักงานโรงแรมกันเลยทีเดียว นอกจากนี้ พนักงานที่นี่ก็ยังพูดภาษาอังกฤษระดับพื้นฐานได้ และสามารถให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ด้วย

สวนแห่งนี้มีพื้นที่ขนาดใหญ่ สร้างอยู่บนเนินเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้ คุณจะได้พบกับเลานจ์ห้องสมุด, แลปทำการทดลองและกิจกรรมเวิร์กช้อปเสริมสร้างประสบการณ์, คาเฟ่, ร้านอาหารและร้านขายสินค้าการเกษตรในท้องถิ่นที่มีทั้งผักและอาหารแปรรูป, ฟาร์ม, สวนผลไม้, ป่าเบญจพรรณ, สนามหญ้าและจุดชมวิว

ความพิเศษของพื้นที่เหล่านี้ คือ ทุกที่ล้วนสร้างอยู่แยกกันและอยู่บนระดับความสูงที่แตกต่างกันโดยมีทางเชื่อมเป็นบันไดและทางลาด ดูกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมได้อย่างแนบเนียน การออกแบบนี้ทำให้ได้บรรยากาศที่เต็มไปด้วยธรรมชาติที่เปิดกว้าง มีต้นไม้มากมายให้เหล่าผู้มาเยือนได้ชมกันอย่างผ่อนคลายระหว่างที่เดินเล่นไปตามทาง นอกจากนี้ ผนังด้านนอกของอาคารทุกหลังก็ทำจากไม้ซีดาร์สีดำซึ่งดูโดดเด่นตัดกับทัศนียภาพสีเขียวโดยรอบได้อย่างงดงามจนถึงกับได้รางวัล Good Design Award ประจำปี 2020 ไปครองเลยทีเดียว

 

ร้านค้าของฟาร์ม (The Farm Shop) จำหน่ายผักและอาหารแปรรูปจากวัตถุดิบท้องถิ่นเมืองมาจิดะ

จุดแรกที่เราจะแวะกันก็คือ ร้านค้าของฟาร์มที่ตั้งอยู่บริเวณทางเข้าพอดี ที่นี่อยู่ติดกับเคานท์เตอร์บริการข้อมูล จึงมักจะเป็นจุดแรกที่ผู้มาเยือนแวะชมกันเสมอๆ ร้านนี้ขายผักผลไม้ที่ปลูกในเมืองมาจิดะ แล้วก็ยังมีพวกอาหารแปรรูป, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, งานฝีมือ และสินค้าประจำท้องถิ่นต่างๆ ด้วย

ผักผลไม้ที่ขายในร้านนี้มาจากเกษตรกรในท้องถิ่นที่ตั้งใจปลูกและนำมาขาย ที่นี่จึงเต็มไปด้วยสินค้าตามฤดูกาลที่สดใหม่ มาพร้อมกับคำอธิบายเรื่องรสชาติ ลักษณะหน้าตา และวิธีนำไปประกอบอาหารที่คุณแน่ใจได้เลยว่า จะสามารถอร่อยกับมันได้อย่างเต็มที่แน่นอน บอกเลยว่าคุณไม่มีทางพบสินค้าเหล่านี้ในซูเปอร์มาร์เก็ตแถวบ้านแน่ๆ โดยเฉพาะราคาที่ดูสมเหตุสมผลขนาดนี้

หากคุณคิดจะซื้อของฝากสักชิ้น เราขอแนะนำสินค้าจากร้านเบเกอรี่ Kogasaka Bake ที่มีชื่อเสียงด้านขนมอบ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากโรงหมักสาเก Junmai Onezakura ที่ทำจากข้าวในท้องถิ่นตามภาพด้านบนนี้เลย

นอกจากสินค้าที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ร้านนี้ก็ยังขายเครื่องเทศและอาหารว่างอย่างชีสที่หมักอยู่ในน้ำมันตามภาพด้านบนนี้ด้วย คุณมั่นใจได้เลยว่าจะได้พบกับสินค้าหายากที่ไม่มีขายในซูเปอร์ฯ แถวบ้านแน่นอน

เดินเล่นผ่านทุ่งดอกไม้และอุโมงค์ต้นไม้

น่าเสียดายที่เราไปสวนแห่งนี้กันในช่วงปลายเดือนสิงหาคมซึ่งอยู่นอกฤดูชมดอกไม้และฤดูเก็บผลไม้ เราเลยได้ชมแค่ดอกทานตะวันไม่กี่ดอกเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม หากเราไปถูกช่วงแล้วล่ะก็ จะได้เห็นทั้งทุ่งดอกนาโนะฮานะ, ทานตะวัน, คอสมอส, ต้นลอเรล, ดอกฮอลลี่ฮ็อค และดอกไม้ชนิดอื่นอีกมากมายเลย

นอกจากนี้ ทางสวนก็ยังมีการปลูกผักในแปลงเล็กๆ โดยไม่ใช้ยาฆ่าแมลงด้วย คุณจึงสามารถเห็นผักหายากอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ของสวนได้ แถมบางครั้งก็มีงานอีเวนต์และกิจกรรมให้คุณได้ลงมือทำด้วยเช่นกัน อย่างการเพาะเมล็ดพันธุ์ดอกไม้, การเก็บผัก, เวิร์กช้อปที่เกี่ยวกับพืชผลต่างๆ , กิจกรรมขับรถไถ ฯลฯ หากคุณมีโอกาสก็ลองไปเข้าร่วมกันดูนะ

คลิกที่นี่ เพื่อทำการจอง

นอกจากผักและดอกไม้แล้ว ที่นี่ก็ยังมีสวนผลไม้ที่ปลูกทั้งบลูเบอร์รี่ มะกอก และผลไม้ตระกูลซิตรัสอีกหลายชนิด ทั้งหมดปลูกด้วยมือล้วนๆ โดยไม่ใช้ยาฆ่าแมลงเลย เพราะสวนแห่งนี้เน้นการจัดสภาพแวดล้อมให้สามารถกำจัดศัตรูพืชและรักษาโรคของต้นไม้ได้ตามธรรมชาติเลยนั่นเอง

หลังจากที่เพลิดเพลินกับสวนดอกไม้และผลไม้กันไปเรียบร้อยแล้ว เราก็ขอแนะนำให้คุณเดินต่อไปตามทางเพื่อกลับไปยังประตูหลัก เส้นทางนี้จะนำคุณเดินผ่านต้นไม้มากมาย สูดอากาศบริสุทธิ์ และสัมผัสกับความสงบสบายใจที่หาได้ยากในสังคมเมืองที่ค่อนข้างจะวุ่นวายและรีบเร่งกันอย่างในทุกวันนี้

เพลิดเพลินกับอาหารออร์แกนิคในบรรยากาศสุดผ่อนคลายของ "ร้าน 44 APARTMENT Yakushiike"

หลังจากที่เดินเที่ยวรอบสวนกันไปแล้ว นักท่องเที่ยวอย่างเราก็สามารถมานั่งพักทานอาหารกลางวันกันได้ที่ "ร้าน 44 APARTMENT Yakushiike" ซึ่งเป็นทั้งร้านอาหารและคาเฟ่ในที่เดียว

ร้านนี้มีหน้าต่างบานใหญ่ที่ทำจากกระจกใส บรรยากาศด้านในจึงดูโปร่งสบาย มีแสงสว่าง และพื้นที่กว้างขวาง อีกทั้งยังมีวิวสนามหญ้าสีเขียวสดชื่นให้ได้ชมกันด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีเพดานสูง หลังคาทรงโดม และการตกแต่งที่เน้นเฟอร์นิเจอร์ไม้ ทำให้ได้บรรยากาศที่ดูอบอุ่นและหรูหรา ร้านอาหารจะมีที่นั่งอยู่ 2 แบบ คือ แบบเคานท์เตอร์และแบบโต๊ะ

อาหารร้านนี้ปรุงด้วยวัตถุดิบในท้องถิ่นอย่าง ข้าว ผัก นม และไข่ คุณสามารถสั่งเมนูจานหลักที่เป็นข้าวกับไก่หรือเนื้อพร้อมสลัดได้ หรือจะเป็นแกงกะหรี่ผัก หรืออาหารเซ็ตที่เป็นแฮมเบอร์เกอร์เสิร์ฟคู่กับมันฝรั่งทอดและซุปก็ได้ นอกจากนี้ก็ยังมีเมนูขนมหวานสุดชิคอย่าง Vanilla Custard ซึ่งเป็นขนมปังปิ้งจากร้าน Kogasaka Bake ออนท็อปด้วยไอศกรีมวานิลลา Melt Cream Tiramisu Affogato และ ซอฟท์ครีมที่ทำด้วยนมจากฟาร์ม Kitajima เมืองมาจิดะที่สามารถหาทานได้ที่นี่เท่านั้นด้วย

นอกจากอาหารสำหรับทานในร้านแล้ว ที่นี่ก็ยังมีเมนู Take Out อย่างแกงกะหรี่ เบอร์เกอร์ แซนด์วิช ฯลฯ ให้คุณสั่งไปทานนอกร้านด้วยเช่นกัน ในวันที่อากาศเย็นสบายก็มักจะมีคนซื้อ "ตะกร้าปิกนิก" (Picnic Basket) ที่เป็นอาหารเซ็ตแบบเบาๆ ออกไปนั่งทานกันที่สนามหญ้าด้วย

Klook.com

สนุกกับงานอีเวนต์ในสวนและกิจกรรมกลางแจ้งกับครอบครัว

สนามหญ้าที่อยู่หลังร้าน 44 APARTMENT นับเป็นสนามเด็กเล่นในฝันของเหล่าครอบครัวที่พาบุตรหลานมาเที่ยวเลยทีเดียว เด็กๆ สามารถวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานได้ ระหว่างที่รอผู้ใหญ่วุ่นวายอยู่กับการเตรียมปาร์ตี้บาร์บีคิว คุณสามารถสั่งชุดบาร์บีคิวจากร้าน 44 APARTMENT ที่มาพร้อมอุปกรณ์ให้เช่าและวัตถุดิบได้เลย เป็นวิธีที่จะทำให้คุณได้สนุกกับปาร์ตี้บาร์บีคิวร่วมกับเพื่อนและครอบครัวโดยที่ไม่ต้องแบกสัมภาระหรือกระเป๋าใบใหญ่ไปไหนมาไหน

ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของสวนสไตล์ตะวันตกนี้ คือ งานอีเวนต์ที่จะจัดอยู่เรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น งาน LOCAL Farmers’ Market ที่จะมีเหล่าเกษตรกรเมืองมาจิดะ ผู้ผลิตอาหารแปรรูป และบรรดาช่างฝีมือมาตั้งร้านขายของกัน นอกจากนี้ก็ยังมีงานอีเวนต์อื่นๆ และงานสัมมนาที่จัดขึ้นในสวนแห่งนี้ด้วย หากคุณสนใจก็สามารถตามไปดูรายละเอียดในเว็บไซต์ทางการของสวนยาคุชิอิเกะฯ ได้เลย

สวนยาคุชิอิเกะ (Yakushiike Park) ความลงตัวของธรรมชาติและอาคารประวัติศาสตร์

โซนที่อยู่ติดกับสวนสไตล์ตะวันตกพอดีก็คือ "สวนยาคุชิอิเกะ" แลนด์มาร์คสำคัญของเมืองมาจิดะที่ได้รับการกำหนดให้เป็นหนึ่งใน "100 สวนประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่น" ไปในปี ค.ศ. 2007

"สระยาคุชิ" (Yakushi Pond) ที่อยู่ใจกลางสวนแห่งนี้ ในอดีตเคยถูกเรียกว่า "สระฟุคุโอจิ" (Fukuo-ji Pond) ทำหน้าที่เป็นเขื่อนกักเก็บน้ำพุที่ผุดขึ้นมาจากตาน้ำธรรมชาติสำหรับใช้ในการเกษตร สระนี้ถูกใช้งานมาตลอดจนถึงช่วงก่อนยุคโชวะ หลังจากนั้น สระฟุคุโอจิก็เคยถูกดินและทรายกลบทับไปถึง 3 ครั้ง ซึ่งเป็นผลมาจากเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดและดินถล่มในสมัยเอโดะ แต่ก็ได้ชาวบ้านที่มาช่วยกันขุดขึ้นใหม่ ทำให้รูปทรงของสระน้ำค่อยๆ เปลี่ยนไปจนกลายเป็นสระน้ำที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้

เนื่องจากพื้นที่นี้มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ เมื่อมาถึงปี ค.ศ. 1961 ก็ได้มีการลงมติให้พัฒนาพื้นที่รอบสระฟุคุโอจิให้กลายเป็นพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติกลางเมือง และหลังจากการวางแผนและการก่อสร้างที่ยาวนานถึง 15 ปี สวนยาคุชิอิเกะแห่งนี้ก็ได้เปิดตัวขึ้นในเดือนเมษายน ค.ศ. 1976 โดยมีพื้นที่รวมกว่า 102,800 ตารางเมตร

ค้นพบความงดงามของฤดูกาลญี่ปุ่น ผ่านการชมทุ่งดอกไม้ 4 ฤดู

คุณจะได้สัมผัสกับความงดงามของฤดูกาลทั้ง 4 ในญี่ปุ่นผ่านการชมดอกไม้นานาชนิดที่อยู่ในสวนยาคุชิอิเกะ หากคุณมาช่วงเดือนมีนาคม ก็จะได้เห็นสวนแห่งนี้ที่ย้อมไปด้วยสีชมพูของดอกซากุระ ในขณะที่เดือนพฤษภาคม - มิถุนายนจะเป็นฤดูของดอกไอริส ตามด้วยดอกไฮเดรนเยียที่เบ่งบานรับสายฝนในช่วงกลางเดือนมิถุนายน - ต้นเดือนกรกฎาคม  จากนั้น เมื่อถึงฤดูร้อนซึ่งเป็นฤดูชมดอกไม้ของสวนแห่งนี้ คุณก็จะได้ชมทั้งดอกบัวพันธุ์โอกะสีชมพูสวยที่เบ่งบานส่งกลิ่นหอมใสไปทั่วบริเวณ ดังนั้น หากคุณตั้งใจจะไปเที่ยวสวนแห่งนี้แล้วล่ะก็ เราขอแนะนำให้ไปในช่วงเดือนมิถุนายนเลย

ฤดูใบไม้ร่วงในสวนแห่งนี้ก็สวยไม่แพ้กัน เพราะที่นี่มีทั้งต้นเมเปิ้ลและต้นแปะก๊วยที่พากันเปลี่ยนสี แต่งแต้มพื้นที่สวนให้เต็มไปด้วยความสดใสของใบไม้เปลี่ยนสี หากคุณมีโอกาสเดินทางไปชมด้วยตาตัวเองแล้วล่ะก็ ไม่ควรพลาดเด็ดขาดเลย และหากคุณไปในช่วงหน้าหนาว สวนแห่งนี้ก็มีดอกคามีเลียและดอกบ๊วยให้ได้ชมกันด้วย

ประวัติศาสตร์ที่สลักซ่อนในอาคารโบราณ

พื้นที่ทางตะวันตกของสระยาคุชิแห่งนี้ เป็นที่ตั้งของบ้าน 2 หลังที่สร้างขึ้นในสมัยเอโดะ (ค.ศ. 1603 - 1868) นั่นก็คือ "อดีตบ้านพักของตระกูลนากาอิ" (The Former Nagai Residence) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมประจำชาติที่จับต้องได้ และ "อดีตบ้านพักของตระกูลโอกิโนะ" (Former Ogino Residence) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้ในเขตพื้นที่เมืองจังหวัดโตเกียว

อดีตบ้านพักของตระกูลนากาอิเป็นบ้านไร่ที่สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 และภายหลังก็ได้ทำการบริจาคให้เป็นทรัพย์สินของเมืองมาจิดะ จากนั้น บ้านหลังนี้ก็ถูกย้ายไปตั้งใน "สวนมาจิดะ" (Machida Park) ในปี ค.ศ. 1975 นับเป็นอาคารโบราณที่เป็นตัวอย่างของบ้านไร่ในพื้นที่แถบ "เนินเขาทามะ" (Tama Hills) เลยทีเดียว

เมื่อคุณไปถึง ก็จะได้เห็นเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเกษตรซึ่งเหล่าชาวไร่ชาวนาเคยใช้กันเมื่อหลายร้อยปีก่อน เป็นสิ่งที่จะทำให้คุณเห็นภาพวิถีชีวิตของชาวบ้านในสมัยนั้นได้เลย

ส่วนบ้านอีกหลังหนึ่งนั้น เป็น "อดีตบ้านพักของตระกูลโอกิโนะ" ที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงปลายยุคเอโดะเพื่อใช้เป็นโรงพยาบาลและบ้านพักส่วนตัว แต่หลังจากนั้น ตระกูลโอกิโนะก็ได้ทำการบริจาคให้กับเมืองมาจิดะ ทำให้บ้านหลังนี้ถูกย้ายไปสร้างใหม่ในเขตมิวะของเมืองมาจิดะใน ค.ศ. 1972

ถึงแม้ว่าบ้านหลังนี้จะเป็นบ้านไร่ แต่ก็มีบางส่วนที่ดูคล้ายทาวน์เฮ้าส์ในเมืองซึ่งดูมีเสน่ห์และน่าชมเช่นกัน

หลังจากที่ชมอดีตบ้านพักทั้ง 2 หลังกันไปแล้ว ก็ต้องไม่ลืมแวะพักที่โรงน้ำชา Yakushi Chaya กันด้วย ที่นี่ตั้งอยู่ใกล้กับสระยาคุชิและรายล้อมไปด้วยต้นไม้ ซึ่งจะทำให้คุณได้ชมวิวสวยๆ ระหว่างที่นั่งพักผ่อนและรับประทานอะไรเบาๆ กันอย่างเพลิดเพลิน โรงน้ำชาแห่งนี้มีทั้ง "ขนมดังโงะ" (Dango) และ "อันมิตสึ" (Anmitsu) ซึ่งเป็นขนมหวานที่ประกอบด้วยวุ้น ถั่วแดงกวน และผลไม้

ชม "โถงยาคุชิโด" และ "ต้นแปะก๊วยยักษ์" ที่อยู่ติดกับสวนยาคุชิอิเกะ

"โถงยาคุชิโด" (Yakushi-do Hall) แห่งนี้ ในอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของ "วัดฟุคุโอจิ" (Fukuo-ji Temple) ที่ก่อตั้งในสมัยนารา (ค.ศ. 729 - 749) โดยนักบวชที่ชื่อ "เกียวกิ" (Gyoki) ความจริงแล้ววัดนี้ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกที่อื่น แต่ก็ถูกรื้อถอนมาสร้างใหม่ในสวนยาคุชิอิเกะแห่งนี้ในปี ค.ศ. 1883 จากนั้นจึงมีการเปลี่ยนชื่อเป็น "โถงยาคุชิโดะ" เนื่องจากที่นี่เป็นที่ประดิษฐานของ "พระโพธิสัตว์ยาคุชิ เนียวไร" (Yakushi Nyorai) ที่เชื่อกันว่ามีพลังแห่งการเยียวยารักษาโรคภัยไข้เจ็บ อาคารนี้สร้างขึ้นด้วยไม้เซลโควาทั้งหมด มีรูปปั้นสิงโตแกะสลักถือลูกบอลที่เรียกว่า "มาริ" (Mari) ประดับอยู่ตรงทางเข้า และภายในลูกบอลก็มีการวางรูปปั้นของเทพเจ้าองค์อื่นๆ อย่าง "เทพอูนุเมะ เรย์จิน" (Unume Reijin) และ "เทพอินาริ" (Inari) เอาไว้ด้วย

หน้าโถงยาคุชิโดแห่งนี้ มีต้นแปะก๊วยยักษ์ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของที่นี่ปลูกอยู่ สันนิษฐานว่าต้นนี้มีอายุประมาณ 500 ปีแล้ว และในปัจจุบัน ต้นไม้ต้นนี้ก็มีความสูงถึง 35 เมตรและมีเส้นผ่านศูนย์กลางวงต้นไม้กว้างถึง 5 เมตรเลยทีเดียว

ใน ค.ศ. 1976 ต้นแปะก๊วยต้นนี้ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 100 ต้นไม้ที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองมาจิดะ และในบริเวณนี้ก็ยังมีอุโมงค์ต้นไผ่และม้านั่งที่ทอดยาวอยู่ด้วย นับเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนคลายเหนื่อยหลังจากที่เดินเล่นในสวนมาอย่างยาวนานทั้งวัน

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

สวนยาคุชิอิเกะฯ โอเอซิสสีเขียวแสนสงบในกรุงโตเกียว

เป็นอย่างไรกันบ้าง กับบทความแนะนำสวนสีเขียว "ยาคุชิอิเกะ พาร์ค ชิคิไซ โนะ โมริ" ในครั้งนี้? หากคุณกำลังวางแผนทริปโตเกียวครั้งต่อไปอยู่ ก็ลองมองข้ามจุดท่องเที่ยวดาษดื่นทั่วๆ ไป แล้วมาเที่ยวในสถานที่ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักอย่างสวนยาคุชิอิเกะฯ กันดูบ้างนะ เราเชื่อว่าคุณจะได้ใช้เวลากับเพื่อนและครอบครัวอย่างสนุกสนานแน่นอน เพราะที่นี่มีทั้งธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และกิจกรรมต่างๆ มากมายรอคุณอยู่ แล้วพบกันนะ!

หากมีคำถาม คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา สามารถติดต่อและติดตามเราผ่านทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรมได้เลย!

มนต์เสน่ห์คันโต

เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่

รับส่วนลดมากมายในญี่ปุ่น ที่นี่!

เกี่ยวกับนักเขียน

Nguyen
Nguyen Loan
เป็นคนเวียดนามอาศัยอยู่ในโตเกียว หลังจากอาศัยอยู่ในญี่ปุ่นมาได้สองปีแล้ว ฉันหวังว่าจะได้ไปเที่ยวภูมิภาคอื่นๆ และเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้คนในญี่ปุ่นต่อไป ฉันหวังว่าจะแบ่งปันประสบการณ์ของตัวเองในประเทศนี้ผ่านบทความขอเรา และช่วยให้ผู้คนได้เรียนรู้เกี่ยวกับญี่ปุ่นมากขึ้น
  • แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

ค้นหาร้านอาหาร