สตอเบอรี่ญี่ปุ่นพันธุ์ไหนอร่อย? เลือกสตอเบอรี่ยังไงดี? ที่นี่มีคำตอบ!

สตอเบอรี่ หนึ่งในผลไม้ยอดนิยมของประเทศญี่ปุ่น มีกลิ่นหอม สีสวย และเปี่ยมไปด้วยวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและผิวพรรณเพราะมีทั้งกรดโฟลิคและวิตามิน C ในปริมาณสูง แถมสตอเบอรี่ญี่ปุ่นยังมีจุดเด่นอยู่ตรงรสชาติที่หวานหอมกินอร่อยอีกด้วย ในบทความนี้ tsunagu Japan จะมาแนะนำสายพันธุ์สตอเบอรี่ยอดนิยม วิธีเลือกซื้อและการเก็บรักษาสตอเบอรี่ญี่ปุ่นให้ทุกคนได้รู้กัน ไม่ว่าคุณจะอยากซื้อกลับไทยหรือใช้เป็นไกด์เวลาไปเที่ยวฟาร์มสตอเบอรี่ บทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคุณอย่างแน่นอน!

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

บทความนี้อาจมีลิงก์พาร์ทเนอร์ หากคุณทำการซื้อผ่านลิงก์พาร์ทเนอร์ เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ

ฤดูเก็บเกี่ยวสตอเบอรี่ญี่ปุ่น

หลายคนอาจจะเคยสงสัยว่าฤดูเก็บเกี่ยวสตอเบอรี่ของประเทศญี่ปุ่นเป็นช่วงเดือนไหนกันแน่ เพราะไม่ว่าจะไปเมื่อไหร่ก็มักจะเห็นสตอเบอรี่วางขายอยู่เสมอ ดังนั้น เรามาเริ่มจากไขข้อสงสัยของทุกคนกันก่อนเลยดีกว่า!

ฤดูเก็บเกี่ยวสตอเบอรี่ของประเทศญี่ปุ่นจะเริ่มขึ้นในเดือนธันวาคมและยาวต่อเนื่องไปถึงเดือนมิถุนายนของปีถัดไป มีความแตกต่างเล็กน้อยในเรื่องของสถานที่ปลูกซึ่งเราก็สามารถแบ่งตามช่วงเวลาได้ดังนี้

ช่วงที่ 1 : เดือนธันวาคม - เมษายน : ฤดูเก็บเกี่ยวสตอเบอรี่ที่ปลูกในร่มหรือในเรือนกระจก

ช่วงที่ 2 : เดือนพฤษภาคม - ต้นมิถุนายน : ฤดูเก็บเกี่ยวสตอเบอรี่ที่ปลูกกลางแจ้ง

ส่วนสตอเบอรี่ที่เราเห็นวางขายอยู่ทั่วไปในช่วงปลายเดือนมิถุนายน - ตุลาคมนั้น ส่วนหนึ่งจะเป็นสตอเบอรี่นำเข้าเพราะญี่ปุ่นได้เข้าสู่ฤดูร้อนแล้วทำให้สตอเบอรี่ไม่ค่อยออกผลให้เก็บนั่นเอง 
 

แต่ถึงจะไม่มีสตอเบอรี่ หน้าร้อนในประเทศญี่ปุ่นก็เป็นสวรรค์ของผลไม้เช่นกัน เพราะมีทั้ง เชอร์รี่, เมล่อน, ลูกท้อ, ลูกแพร์ และองุ่นลูกโตๆ รสชาติหวานหอม ใครที่ยังไม่เคยกินต้องไปลองแล้วจะรู้ว่าอร่อยไม่แพ้กัน!

การเลือกสตอเบอรี่

อุตส่าห์มากินสตอเบอรี่ถึงญี่ปุ่นทั้งที ถ้าไปเจอสตอเบอรี่เปรี้ยวๆ เพราะยังสุกไม่เต็มที่หรือเผลอซื้อสตอเบอรี่ที่สุกกำลังดีกลับไทยกว่าจะถึงบ้านก็งอมจนเละไปแล้วก็คงจะเซ็งไม่น้อย ดังนั้นวันนี้เราจะมาแนะนำวิธีดูสตอเบอรี่แบบง่ายๆ กัน โดยจุดหลักที่ต้องดูก็มีเพียง 3 จุดเท่านั้น!

1. ก้านและกลีบเลี้ยงบนขั้ว

เมื่อสตอเบอรี่สุกแล้ว ก้านจะโค้งงอไปด้านหลัง และหากกลีบเลี้ยงบนขั้วเป็นสีเขียวเข้มดูไม่แห้ง แปลว่าสตอเบอรี่ลูกนั้นยังสดอยู่

2. ผิวและเนื้อ

สตอเบอรี่ที่สุกเต็มที่จะมีผิวมันเงาเป็นประกาย เห็นเมล็ดและขอบหลุมเมล็ดสตอเบอรี่ได้อย่างชัดเจน เนื้อดูแน่น แข็ง ไม่ช้ำ

3. สีและกลิ่น

สตอเบอรี่ที่สุกแล้วจะมีสีแดงสดใสไปทั้งผลรวมถึงบริเวณใกล้ขั้วกลีบเลี้ยงของสตอเบอรี่ด้วย (หากยังไม่สุกดีส่วนนี้จะเป็นสีขาว) นอกจากนี้ สตอเบอรี่ที่สุกแล้วก็จะส่งกลิ่นหอมหวานออกมาด้วย ยิ่งกลิ่นแรงแปลว่ายิ่งสุกพร้อมรับประทานแล้วนั่นเอง

* ข้อควรระวัง : คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับเรื่องสุขอนามัยมากๆ ดังนั้นจึงไม่ควรยกสตอเบอรี่ขึ้นมาดมใกล้ๆ หรือหายใจรดผลสตอเบอรี่เพราะอาจทำให้เกิดการปนเปื้อนได้ ไม่มีใครอยากกินสตอเบอรี่ที่มีคนยกไปดมติดจมูกหรอกจริงไหม? และถ้าสตอเบอรี่สุกแล้วจริงๆ เพียงคุณหยิบแพ็กนั้นขึ้นมาถือหรือเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็จะได้กลิ่นหอมหวานลอยออกมาแล้วล่ะ!
 

แนะนำสายพันธุ์สตอเบอรี่

มาถึงการแนะนำสายพันธุ์สตอเบอรี่ยอดนิยมกันบ้าง เราจะขอพูดถึงที่มา จุดเด่น และรสชาติของสตอเบอรี่แต่ละสายพันธุ์เป็นหลัก มีทั้งแบบหวานหอม หวานอมเปรี้ยว แถมบางสายพันธุ์ยังมีชื่อน่ารักๆ ชวนลิ้มลองอีกด้วย
 

อามาโอ (あまおう)
สตอเบอรี่จากจังหวัดฟุกุโอกะที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นครั้งแรกในปี 2005 เป็นสตอเบอรี่ผลใหญ่ เนื้อแน่นฉ่ำน้ำ มีน้ำตาลปริมาณสูงทำให้รสหวานเด่นชัด ตัดกับความเปรี้ยวได้อย่างลงตัว 

นอกจากนี้ ชื่อ “อามาโอ” ของมันก็มาจากอักษรหน้าคำภาษาญี่ปุ่น 4 คำ คือ อาไม่ (あまい), มารุอิ (まるい), โอคี่ (おおきい)และ อุไม่ (うまい) ซึ่งทั้ง 4 คำก็แปลว่า “หวาน กลม ใหญ่ อร่อย” เป็นชื่อที่อธิบายจุดเด่นของสายพันธุ์นี้ได้ดีเลยจริงไหม!?
 

โทจิโอโตเมะ (とちおとめ)
สตอเบอรี่อีกหนึ่งสายพันธุ์ที่คุณจะได้เจอบ๊อยบ่อย “โทจิโอโตเมะ” เป็นสตอเบอรี่จากจังหวัดโทชิกิ ขึ้นทะเบียนในปี 1996 เป็นสายพันธุ์ที่มีการเพาะปลูกมากเป็นอันดับ1ของพื้นที่ในแถบตะวันออกของประเทศญี่ปุ่น เพราะให้ผลผลิตมาก คุณภาพคงที่และเก็บรักษาได้นาน 

จุดเด่นของสายพันธุ์นี้ คือ มีความหวานที่เด่นชัดเพราะมีน้ำตาลปริมาณสูง มีความเปรี้ยวระดับปานกลาง เนื้อฉ่ำแน่น ผิวเป็นมันเงา รูปทรงเรียวยาวและมีปลายแหลม เป็นสายพันธุ์ที่วางขายอยู่เยอะมากเพราะมีคุณสมบัติเก็บรักษาได้นาน คือไม่เน่าง่ายนั่นเอง
 

เบนิฮอปเปะ (紅ほっぺ)
สตอเบอรี่จากจังหวัดชิซูโอกะ เป็นพันธุ์ที่เริ่มพัฒนามาตั้งแต่ปี 1994 และได้รับการขึ้นทะเบียนในปี 2002 “เบนิฮอปเปะ” เป็นสตอเบอรี่พันธุ์ผสมระหว่าง อากิฮิเมะ (あきひめ) และ ซาจิโนะกะ (さちのか) มีลักษณะเด่นอยู่ที่สีแดงสดใส แดงมาก แดงไปถึงเนื้อในของผลไม้เลยทีเดียว ซึ่งคนญี่ปุ่นก็ช่างคิดว่ามันดูเหมือนแก้มแดงๆ ของเด็กสาวเลยตั้งชื่อว่า เบนิฮอปเปะ ที่แปลว่า “แก้มแดง” นั่นเอง 

สตอเบอรี่พันธุ์นี้มีผลใหญ่ โคนอ้วนหนา ปลายมน ผิวเป็นมันเงาและจะส่งกลิ่นหอมหวานเวลาที่สุกเต็มที่ ได้รับความนิยมเพราะมีรสชาติที่ผสานความหวานและความเปรี้ยวได้อย่างบาลานซ์ลงตัว
 

อากิฮิเมะ (章姫 あきひめ)
สตอเบอรี่จากจังหวัดชิซูโอกะที่พัฒนาโดยคุณอากิฮิโระ ฮากิฮาระ (Akihiro Hagihara) ขึ้นทะเบียนในปี 1992 ในชื่อ Akira Princess และสุดท้ายก็กลายเป็นชื่อสตอเบอรี่ “อากิฮิเมะ” ไป

ลักษณะเด่นของสตอเบอรี่สายพันธุ์นี้ คือ รูปทรงผลไม้ที่มีลักษณะเรียวยาวเป็นวงรี เนื้อด้านในเป็นสีขาว เนื้อฟูฉ่ำน้ำ ผิวสีแดงอมส้มสดใส เป็นสตอเบอรี่ที่มีความเปรี้ยวน้อยมากๆ ทำให้ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง

ยาโยอิฮิเมะ (やよいひめ)
สตอเบอรี่พันธุ์ใหม่ที่ถูกเพาะขึ้นในจังหวัดกุนมะ เป็นพันธุ์ผสมระหว่างสายพันธุ์โทเนะฮอปเปะ (とねほっぺ) และ โทจิโอโตเมะ ได้รับการขึ้นทะเบียนในปี 2005 ฤดูเก็บเกี่ยวของ “ยาโยอิฮิเมะ” อยู่ในเดือนธันวาคมไปจนถึงต้นปี 

จุดเด่นของสตอเบอรี่สายพันธุ์นี้ คือ ผลใหญ่ สีแดงสดใสและมีสีส้มปนอยู่จางๆ ส่วนใหญ่จะมีรสหวานแต่ในบางครั้งก็อาจอมเปรี้ยวนิดๆ เป็นสตอเบอรี่ที่ทรงสวย คุณภาพคงที่และเก็บรักษาได้นานทำให้สะดวกต่อการขนส่ง
 

คาโอริโนะ (かおり野)
สตอเบอรี่จากจังหวัดมิเอะ (三重) ได้รับขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการในปี 2010 จุดเด่นของสตอเบอรี่สายพันธุ์นี้ คือ ผลใหญ่อวบอ้วน มีผิวสีแดงอมส้ม แต่เมื่อกัดลงไปแล้วจะเห็นเนื้อด้านในเป็นสีขาวบริสุทธิ์ มีเนื้อแน่น รสหวานเด่นชัดและไม่ค่อยเปรี้ยว มีกลิ่นหอมหวานสดชื่น เพราะมี "ลินาลูล" เป็นส่วนประกอบอยู่มาก (Linarool สารธรรมชาติที่ทำให้เกิดกลิ่นหอมในพืชพันธุ์และผลไม้ เช่น ดอกลาเวนเดอร์ ดอกลิลลี่ออฟเดอะวัลเลย์ มะกรูด เป็นต้น) ฤดูเก็บเกี่ยวของ “คาโอริโนะ” หลักๆ จะเริ่มที่เดือนพฤศจิกายน

ซาจิโนะกะ (さちのか)
สตอเบอรี่พันธุ์ผสมระหว่างพันธุ์โทโยโนกะ (とよのか) มีจุดเด่นเป็นกลิ่นที่หอมหวานและพันธุ์ไอเบอรี่ (アイベリー) สตอเบอรี่ชั้นสูงของจังหวัดไอจิที่มีจุดเด่นตรงผลใหญ่สีสวย 

“ซาจิโนะกะ” ได้รับการขึ้นทะเบียนในปี 2000 เป็นสตอเบอรี่ที่มีสีแดงก่ำ ผิวมันเงาเป็นประกาย มีน้ำตาลในปริมาณสูงทำให้เก็บรักษาได้นาน เป็นสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมอยู่แทบทุกที่ในญี่ปุ่น
 

ยูเมะโนะกะ (ゆめのか)
สตอเบอรี่สายพันธุ์นี้ถูกพัฒนาขึ้นในจังหวัดไอจิตั้งแต่ปี 1999 และได้รับการขึ้นทะเบียนในปี 2007 เป็นสตอเบอรี่พันธุ์ใหม่ที่ให้ผลผลิตในปริมาณที่มากกว่าและใหญ่กว่าพันธุ์โทจิโอโตเมะ และทนทานต่อการขนส่งได้มากกว่าสตอเบอรี่พันธุ์อากิฮิเมะซึ่งเป็น 2 สายพันธุ์หลักของจังหวัดไอจิ ทำให้มีการปลูกกันอย่างแพร่หลาย

จุดเด่นของสายพันธุ์นี้ คือ มีผลใหญ่ที่มาก บางลูกอาจหนักถึง 20 กรัม เลยทีเดียว เนื้อแน่นฉ่ำน้ำทำให้รู้สึกว่ากินได้เต็มปากเต็มคำและมีรสหวานอมเปรี้ยวที่สดชื่นลงตัว ชื่อของมันมีความหมายว่า “สตอเบอรี่แสนอร่อยที่ทุกคนใฝ่ฝัน” แค่ชื่อก็มาเต็มขนาดนี้ ไม่ลองไม่ได้แล้วล่ะ 

คิราปิกะ (きらぴ香)
สตอเบอรี่สายพันธุ์ใหม่ที่พัฒนาโดยสถาบันการวิจัยการเกษตรและป่าไม้ในจังหวัดชิซูโอกะ เป็นพันธุ์ผสมระหว่างพันธุ์เบนิฮอปเปะและอากิฮิเมะซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของจังหวัดชิซูโอกะ “คิราปิกะ” ได้เริ่มการพัฒนามาตั้งแต่ปี 1996 แต่เพิ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเมื่อปี 2017 ที่ผ่านมา

จุดเด่นของสตอเบอรี่สายพันธุ์นี้ คือ ผลใหญ่ยาว ผิวสีแดงเข้ม แต่เมื่อกัดเข้าไปจะเห็นเนื้อในเป็นสีแดงสดใส นอกจากนี้ คิราปิกะยังมีกลิ่นหอมหวานน่าประทับใจและเปรี้ยวน้อยกว่าสตอเบอรี่พันธุ์เบนิฮอปเปะด้วย เป็นอีกหนึ่งสตอเบอรี่รสชาติดีที่เราแนะนำให้ลิ้มลอง
 

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

สตอเบอรี่เนื้อขาว

ในช่วงปี 2006 - 2009 สถาบันการเกษตรของญี่ปุ่นได้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาสตอเบอรี่สายพันธุ์ใหม่ขึ้น ผลที่ได้คือ สตอเบอรี่ที่มีเนื้อสีขาวบริสุทธิ์ และในปัจจุบันก็ได้มีการพัฒนาเพิ่มจนกลายเป็น 4 สายพันธุ์แล้ว

พิเศษขนาดนี้ นักท่องเที่ยวอย่างเราก็คงไม่อยากพลาดหรอกจริงไหม? ของมันต้องลอง! ของมันต้องกิน!

แต่ถ้าให้พูดทั้งหมดก็คงจะยาวเกินไป วันนี้เราจึงขอแนะนำเพียง 2 สายพันธุ์ที่ค่อนข้างแพร่หลายและหาทานตามแหล่งท่องเที่ยวได้ให้ทุกคนรู้จักกัน
 

Klook.com

แนะนำสายพันธุ์สตอเบอรี่เนื้อขาว

ฮัทสึโค่ยโนะคาโอริ (初恋の香り) 
สตอเบอรี่เนื้อขาวสายพันธุ์แรกของญี่ปุ่น ได้รับการขึ้นทะเบียนครั้งแรกในปี 2009 เมื่อสุกเต็มที่ผลสตอเบอรี่จะเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีชมพูระเรื่อดูน่ารัก ให้อิมเมจของรักครั้งแรกที่สดใสบริสุทธิ์ เข้ากับชื่อของมันที่แปลตรงตัวได้ว่า “กลิ่นหอมของรักครั้งแรก” 

แค่ชื่อก็ฟังดูหวานชวนเขินแล้วใช่ไหม? แต่บอกไว้ก่อนว่าสตอเบอรี่เนื้อขาวพันธุ์นี้ไม่ได้มีความหวานเด่นชัดเหมือนพวกสตอเบอรี่สีแดงนะ เพราะเขาจะไปเน้นจุดเด่นเรื่องกลิ่นที่หอมหวานแทน

“ฮัทสึโค่ยโนะคาโอริ” จะมีเนื้ออ่อนนุ่ม รสหวานอ่อนๆ แต่เมื่อกัดไปแล้วก็จะได้กลิ่นหอมฟุ้งเต็มปาก ก็เหมือนความรักแหละนะ มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ กินเข้าไปก็อิ่มอกอิ่มใจ ฮิ้วๆๆๆ

ถึงแม้ว่าสตอเบอรี่เนื้อขาวจะหวานสู้สตอเบอรี่แดงไม่ได้ แต่กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์กับสีสันที่สวยแปลกตาก็ทำให้มันเป็นที่นิยมทั้งในหมู่ผู้บริโภคและเหล่าปาติชิเย่ (Patissiere เชฟขนมหวาน)
 

เทนชิโนะมิ (天使の実)
สตอเบอรี่เนื้อขาวพันธุ์นี้จัดว่าไม่ธรรมดา เพราะมีกลิ่นหอมหวานที่เป็นเอกลักษณ์ แตกต่างจากสตอเบอรี่สายพันธุ์อื่นอย่างสิ้นเชิง คนที่เคยทานมาแล้วต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘เป็นกลิ่นผลไม้ที่หอมหวานมาก ชวนให้นึกถึงผลไม้อย่างลูกท้อ เมล่อน และสับปะรด’ ถึงแม้รสชาติของ “เทนชิโนะมิ” จะไม่หวานหรือเข้มข้นเท่าสตอเบอรี่แดง แต่ดูเหมือนว่ากลิ่นของมันจะทำให้คนกินถึงกับเพ้อได้เลยทีเดียว สตอเบอรี่พันธุ์นี้หาทานได้ค่อนข้างยาก หากคุณไปเจอเข้าล่ะก็ อย่าพลาดโอกาสที่จะชิมเจ้า “ผลไม้ของนางฟ้า” นี้เชียวนะ
 

การรับประทานและเก็บรักษาสตอเบอรี่ของคนญี่ปุ่น

จะกินทั้งทีก็ต้องกินให้คุ้ม กินให้หมด กินให้ได้วิตามินครบถ้วน วันนี้ทาง tsunagu Japan จะขอแนะนำวิธีกินและวิธีเก็บรักษาสตอเบอรี่ของคนญี่ปุ่นให้ทุกคนได้รู้กัน
 

วิธีรับประทานสตอเบอรี่

・ ควรล้างให้สะอาดก่อนกิน การล้างสามารถทำได้ด้วยการปล่อยให้น้ำไหลผ่านผลสตอเบอรี่ประมาณ 5 นาที สลัดน้ำให้แห้งแล้วรับประทานได้เลย

・ ไม่ควรเด็ดใบกลีบเลี้ยงสตอเบอรี่ออกก่อนล้าง เพราะจะทำให้วิตามินถูกล้างออกไปด้วย
 

สตอเบอรี่จิ้มนมข้นหวาน

ลูกเล่นสุดฮิตในการรับประทานสตอเบอรี่ของคนญี่ปุ่น คือ นำมันไปจิ้มนมข้นหวาน เราแนะนำให้คุณไปลองแล้วจะรู้ว่ามันเข้ากันได้ดีสุดๆ! รสหวานนวลเนียนของนมข้นที่ค่อยๆ ละลายไปบนลิ้น ผสมเข้ากับรสเปรี้ยวอมหวานแสนฉ่ำน้ำของสตอเบอรี่ เป็นรสชาติที่กลมกล่อม อร่อยมาก ฟินสุดๆ แล้วกลิ่นหอมละมุนของนมข้นหวานที่เคล้าไปกับความหอมสดชื่นของสตอเบอรี่ก็จะฟุ้งไปทั่วปากทั่วคอ ทำให้รู้สึกเหมือนได้ทานทั้งขนมและผลไม้ไปในเวลาเดียวกัน

วิธีเก็บรักษาสตอเบอรี่

ถ้าอยากให้สตอเบอรี่เก็บได้นานหน่อย ให้แรปแพ็กผลไม้ด้วยแรปพลาสติกแล้วนำเข้าช่องผักเลยโดยไม่ต้องล้าง (จะกินค่อยล้าง)

ถ้าต้องการแช่แข็ง ให้ล้างสตอเบอรี่ ซับน้ำให้แห้ง เด็ดใบกลีบเลี้ยงตรงขั้วออกแล้วนำไปคลุกน้ำตาลให้ทั่วก่อนนำไปแช่แข็ง น้ำตาลที่เคลือบอยู่จะช่วยปกป้องผิวของสตอเบอรี่ไม่ให้ช้ำ คนญี่ปุ่นเรียกวิธีนี้ว่า “ชูการ์ริง (Sugar Ring)” 


ญี่ปุ่นมีสตอเบอรี่อยู่มากมายหลายสายพันธุ์ แต่ละพันธุ์ต่างก็มีรสชาติและกลิ่นหอมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคุ้มค่าต่อการลิ้มลองเป็นอย่างยิ่ง ทาง tsunagu Japan หวังว่าบทความนี้จะทำให้คุณได้รู้จักกับสตอเบอรี่ญี่ปุ่นมากขึ้น ได้รู้จุดเด่นของแต่ละสายพันธุ์และสามารถค้นหารสชาติที่ถูกปากถูกใจ สามารถเลือกสตอเบอรี่ดีๆ กลับไปฝากคนที่คุณรักได้
 

ก่อนจากกัน เราก็อยากบอกคุณว่าสตอเบอรี่ที่ญี่ปุ่นหาซื้อไม่ยากเลย และหากคุณมาโตเกียวก็สามารถหาซื้อได้ตามแหล่งท่องเที่ยวทั่วไป อย่างถนนอาเมะโยโกะ (Ameyoko) ที่อุเอโนะ (Ueno) ก็มีเช่นกัน ใครที่สนใจสามารถตามไปดู “ลายแทงตลาดอาเมะโยโกะ” ใน >> บทความนี้ << ได้เลย!

เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่

รับส่วนลดมากมายในญี่ปุ่น ที่นี่!

เกี่ยวกับนักเขียน

dream.chayanis
dream.chayanis
  • แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

ค้นหาร้านอาหาร