แบ่งปันประสบการณ์ นักเรียนไทยเดินทางเข้าญี่ปุ่นในช่วง โควิด19

การระบาดของเชื้อ โควิด19 เป็นวงกว้างในหลายประเทศทั่วโลก ส่งผลให้รัฐบาลในประเทศต่างๆ ทยอยออกมาตรการเพื่อจำกัดการเดินทางของชาวต่างชาติมากขึ้น ทางรัฐบาลญี่ปุ่นเองก็ได้มีการใช้มาตรการสำหรับผู้ที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง รวมถึงประเทศไทย ซึ่งทำให้การเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นมีขั้นตอนยุ่งยากมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงจะเป็นอย่างไร วันนี้ tsunaguJapan มีประสบการณ์จากผู้เดินทางจริงมาแบ่งปันให้ฟัง

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

บทความนี้อาจมีลิงก์พาร์ทเนอร์ หากคุณทำการซื้อผ่านลิงก์พาร์ทเนอร์ เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ

มาตรการสำหรับผู้ที่เดินทางจากประเทศไทยเข้าญี่ปุ่น

สำหรับผู้ที่เดินทางด้วยเที่ยวบินที่ออกเดินทางจากประเทศไทยตั้งแต่เวลา 0:00 น. ของวันที่ 28 มีนาคม 2563  ตามเวลามาตรฐานประเทศญี่ปุ่น (22:00 น. ของวันที่ 27 มีนาคม 2563 ตามเวลาประเทศไทย) จะต้องปฏิบัติตามมาตรการดังนี้

  • ทำการกักตัว 14 วัน โดยเริ่มนับจากวันรุ่งขึ้นหลังวันที่เดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น โดยต้องกักตัวที่บ้านพักตนเองในประเทศญี่ปุ่นหรือในที่พัก เช่น โรงแรม ที่ระบุเมื่อเข้าประเทศ

  • ตลอดช่วงที่ทำการกักตัว ให้หลีกเลี่ยงการใช้บริการขนส่งสาธารณะ รวมถึงรถไฟ รถบัส รถแท็กซี่ และสายการบินในประเทศ โดยรวมถึงการเดินทางจากสนามบินไปยังสถานที่กักตัวที่ระบุด้วย

ดังนั้น ผู้ที่มีความจำเป็นจะต้องเดินทางมาประเทศญี่ปุ่นจะต้องวางแผนการเดินทางและที่พักสำหรับกักตัวให้เรียบร้อยก่อนเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นนะคะ หากไม่มีรถยนต์ส่วนตัวหรือไม่มีคนมารับจากสนามบิน จะต้องทำการเช่ารถยนต์เพื่อขับจากสนามบินไปยังที่พัก หรือหากไม่มีบ้านพักในญี่ปุ่นจะต้องสำรองที่พักเป็นเวลา 14 วันสำหรับกักตัว และทราบมาว่าขณะนี้ที่พักบริเวณรอบๆ สนามบินทั้งนาริตะและฮาเนดะค่อนข้างเต็มแล้ว จึงอาจจะต้องจองที่พักในบริเวณอื่นๆ ทดแทน นอกจากนี้โรงแรมหรือบริษัทเช่ารถบางแห่งจะต้องให้เราแสดงใบรับรองแพทย์ก่อนเข้าใช้บริการด้วยค่ะ

พร้อมกันนี้ทางรัฐบาลญี่ปุ่นยังได้มีมาตรการระงับวีซ่าที่ออกโดยสถานทูตหรือสถานกงสุลญี่ปุ่น รวมถึงระงับการงดเว้นวีซ่าทั้งหมด ซึ่งรวมถึงวีซ่าเข้าประเทศ 15 วันสำหรับผู้ที่ถือสัญชาติไทยอีกด้วย

สำหรับผู้ที่เดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นด้วยเที่ยวบินที่มีกำหนดเข้าประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่เวลา 0:00 . ของวันที่ 3 เมษายน 2563 ตามเวลามาตรฐานประเทศญี่ปุ่น จะถูกปฏิเสธการเข้าประเทศ ยกเว้นกรณีต่อไปนี้เท่านั้น

  • ผู้ที่ถือวีซ่าถาวรเอย์จูฉะ (permanent resident, 永住者)

  • ผู้ที่ถือวีซ่าระยะยาว (long-term resident, 定住者)

  • วีซ่าคู่สมรสของคนญี่ปุ่น (日本人の配偶者等)

  • วีซ่าคู่สมรสของผู้ถือวีซ่าถาวร (永住者の配偶者等)

  • ผู้ที่ไม่ได้ถือวีซ่าเหล่านี้แต่เป็นคู่สมรสของคนญี่ปุ่น หรือมีลูกถือสัญชาติญี่ปุ่น ที่มีเอกสาร Re-Entry และเดินทางออกจากประเทศญี่ปุ่นก่อนวันที่ 2 เมษายน 2563 เวลา 23:59 น.

ซึ่งตามมาตรการใหม่นี้จะทำให้ผู้ถือวีซ่านักเรียนและวีซ่าทำงานที่มีกำหนดเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นหลังเวลา 0:00 น. ของวันที่ 3 เมษายน 2563 ตามเวลามาตรฐานประเทศญี่ปุ่น จะไม่ได้รับการอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศเช่นกันนะคะ

 

ต่อจากนี้จะขอบอกเล่าประสบการณ์การเดินทางกลับประเทศญี่ปุ่นของเราที่เป็นนักเรียนไทยที่กำลังเรียนอยู่ที่โตเกียว และได้เดินทางกลับโตเกียวเมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมานี้ ซึ่งในตอนนั้นยังไม่มีประกาศปฏิเสธการเข้าประเทศค่ะ ยุ่งยากขนาดไหนมาดูกันเลย

ประสบการณ์จริงจากนักเรียนไทย เริ่มต้นที่เคาน์เตอร์สนามบินสุวรรณภูมิ

ด้วยความที่หลายๆ สายการบินทยอยยกเลิกเที่ยวบินไปญี่ปุ่นกันแล้ว ทำให้เที่ยวบินที่ยังเปิดให้บริการอยู่มีผู้โดยสารอุ่นหน้าฝาคั่งเป็นพิเศษ อย่างเที่ยวบินเมื่อวันที่ 29 มีนาคม ที่ผ่านมานี้ ต้องใช้เวลาเข้าแถวรอเช็กอินและโหลดกระเป๋าถึงราว 1 ชั่วโมงเลยทีเดียว และระหว่างที่ต่อแถวก็ยังมีผู้โดยสารมาต่อเพิ่มเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย ใครมีความจำเป็นต้องเดินทางช่วงนี้อยากให้เผื่อเวลากันด้วยนะคะ!

เมื่อถึงคิวเราไปเช็กอินที่เคาน์เตอร์ พนักงานก็รับพาสปอร์ตและบัตร resident card ของเราไปตรวจสอบว่ามีวีซ่าและคุณสมบัติเบื้องต้นว่าจะเข้าประเทศได้หรือไม่ จากนั้นจะมีการโทรศัพท์พูดคุยแจ้งข้อมูลของเรากับเจ้าหน้าที่ภายใน และซักประวัติการเดินทางในช่วง 14 วันที่ผ่านมาด้วย (ต้องไม่มีประวัติการณ์เดินทางไปยังประเทศกลุ่มเสี่ยงที่ทางการญี่ปุ่นประกาศปิดพรมแดน)

หากคุณสมบัติและประวัติการเดินทางไม่มีปัญหา พนักงานก็จึงจะออกบอร์ดดิ้งพาสให้ค่ะ

บนเครื่องบิน

เมื่อขึ้นมาบนเครื่องบิน หลังทุกคนเข้าที่และเครื่องทำการเทคออฟเรียบร้อยแล้ว พนักงานต้อนรับบนเครื่องจะแจกเอกสารแจ้งระเบียบว่าจะต้องทำการกักตัวเป็นเวลา 14 วันและหลีกเลี่ยงการใช้บริการขนส่งสาธารณะให้เราเซ็นรับทราบ และกรอกที่อยู่ในญี่ปุ่น ที่อยู่สำหรับกักตัว ระยะเวลาที่จะอยู่ในญี่ปุ่น ระยะเวลาที่ต้องทำการกักตัว และข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ ตามมาตรการที่ประกาศมาก่อนหน้ารวมทั้งหมด 3 แผ่น ซึ่งจะมีทั้งเอกสารภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่นให้เลือกกรอกได้ ตรงจุดนี้แนะนำว่าให้อ่านทำความเข้าใจ และควรกรอกเอกสารให้เรียบร้อยตั้งแต่อยู่บนเครื่องไปเลยค่ะ!

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

ถึงสนามบินญี่ปุ่น ด่านตรวจเอกสารพิเศษ และตรวจคนเข้าเมือง

เมื่อมาถึงที่สนามบินญี่ปุ่น ก็จะต้องนำเอกสารทั้งสามแผ่นไปยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ ซึ่งตรงนี้เจ้าหน้าที่จะมีการตั้งโต๊ะพิเศษสำหรับรับเอกสารอยู่ตรงหน้าด่านตรวจคนเข้าเมืองเลย เมื่อยื่นเอกสาร เจ้าหน้าที่ก็จะทำการคอนเฟิร์มที่อยู่เราในญี่ปุ่นและสอบถามถึงวิธีเดินทางกลับบ้าน โดยอาจมีการสอบถามถึงผู้ที่จะเดินทางมารับว่ามีความเกี่ยวข้องกับเราอย่างไรด้วยค่ะ

หลังจากทางเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสารเสร็จก็ออกใบยืนยันให้ว่าเราไม่มีประวัติเดินทางไปประเทศกลุ่มเสี่ยงที่ทางการญี่ปุ่นประกาศปิดพรมแดนภายในระยะเวลา 14 วัน ซึ่งเราต้องนำใบนี้ไปยืนยันที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองอีกทีค่ะ

หลังจากที่ผ่านด่านตรวจเอกสารพิเศษมา ก็มาต่อคิวรอตรวจพาสปอร์ตที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองได้เลย ตรงนี้คือจุดที่เกิดปัญหาขลุกขลักนิดหน่อย เพราะตามมาตรการของการตรวจคนเข้าเมืองญี่ปุ่น ผู้ถือพาสปอร์ตของบางประเทศจะต้องส่งพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่ตรวจดูแสตมป์ในพาสปอร์ตทุกหน้าอย่างละเอียดก่อนว่าไม่มีประวัติการเดินทางไปยังประเทศกลุ่มเสี่ยงที่ทางการญี่ปุ่นประกาศปิดพรมแดนจริงๆ แต่เนื่องด้วยเป็นมาตรการใหม่ที่เพิ่งออกมาทำให้เจ้าหน้าที่ที่ด่านก็ไม่แน่ใจว่าผู้ถือพาสปอร์ตไทยต้องเข้ารับการตรวจในลักษณะดังกล่าวหรือไม่

สุดท้ายหลังจากที่เกิดการสอบถามกันไปมาระหว่างเจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์ข้างเคียงและโทรสอบถามเจ้าหน้าที่ภายใน ก็มีเจ้าหน้าที่มารับตัวเราไปนั่งรอในห้อง และรับพาสปอร์ตของเราไปตรวจ พบว่าในห้องมีคนถือพาสปอร์ตไทยที่นั่งรอการตรวจพาสปอร์ตอยู่แล้ว 3 คน

ผ่านไปประมาณ 10 นาที เจ้าหน้าที่ก็นำพาสปอร์ตเรามาคืนและพาเราเดินออกมาที่ทางออกพิเศษ สู่จุดรอสายพานลำเลียงกระเป๋าโหลด ทั้งหมดนี้ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ซึ่งถือว่าไม่ได้นานอะไร อาจมีความสับสนของเจ้าหน้าที่บ้าง แต่ก็เข้าใจได้เพราะเป็นมาตรการใหม่ที่เพิ่งถูกบังคับใช้นั่นเองค่ะ

Klook.com

เดินทางกลับที่พัก

ขั้นตอนนี้ถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่ต้องระมัดระวัง เนื่องจากเราไม่สามารถใช้บริการขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟ รถบัส หรือแท็กซี่ได้ การเดินทางกลับที่พักจึงจำเป็นต้องเช่ารถขับกลับบ้านหรือนัดคนมารับเท่านั้น แม้ว่าจะไม่มีการตรวจเช็กใดๆ แต่แนะนำว่าให้ปฏิบัติตามมาตรการของทางการญี่ปุ่น เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการแพร่เชื้อเป็นวงกว้างสู่สาธารณะ

นอกจากนี้ ในเอกสารที่เราเซ็นรับทราบตอนอยู่บนเครื่อง ยังมีการระบุโทษในกรณีที่มีการฝ่าฝืนมาตรการดังกล่าว ซึ่งมีทั้งโทษปรับเป็นตัวเงินหลายแสนเยน และโทษจำคุกด้วยล่ะค่ะ ในจุดนี้หากใครเตรียมการมาล่วงหน้าก็สามารถเดินไปขึ้นรถกลับบ้านไปพักผ่อนได้เลยค่ะ

จะเห็นว่ามาตรการใหม่ที่ออกมาทำให้การเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นต้องผ่านการตรวจเข้มข้นขึ้นพอสมควรเลย ทั้งนี้ทั้งนั้น มาตรการและขั้นตอนเหล่านี้ก็เพื่อคัดกรองให้เฉพาะผู้ที่มีความจำเป็นที่ต้องเดินทางจริงๆ และไม่เป็นผู้มีความเสี่ยงติดเชื้อสูง ได้เดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น สำหรับใครที่คิดถึงญี่ปุ่น อยากเที่ยวญี่ปุ่น ช่วงนี้อยากให้เที่ยวผ่านบทความของ tsunaguJapan ไปพลางๆ ก่อน ไว้รอสถานการณ์คลี่คลายเมื่อไหร่ค่อยมาเที่ยวกันให้หายอยากเลยนะคะ

หากมีคำถาม คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา สามารถติดต่อและติดตามเราผ่านทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ได้เลย !

เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่

รับส่วนลดมากมายในญี่ปุ่น ที่นี่!

เกี่ยวกับนักเขียน

supawichable
supawichable
  • แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

ค้นหาร้านอาหาร