พาเที่ยว "สึคิชิม่า" ย้อนยุคไปกับย่านเรโทรสุดแหวกแนวใจกลางกรุงโตเกียว!

"สึคิชิม่า" เป็นย่านที่อยู่ถัดจากแม่น้ำซูมิดะกาวะ แฝงตัวอยู่ท่ามกลางตึกสูงระฟ้าและสถาปัตยกรรมสุดทันสมัย ย่านย้อนยุคสไตล์เรโทรนี้ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโตเกียว เต็มไปด้วยกลิ่นอายจากอดีตที่ตัดกับบรรยากาศของสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่อยู่ใกล้ๆ กันอย่างกินซ่าและสึคิจิได้อย่างมีเสน่ห์ ทำให้ไม่ว่าจะเป็นชาวญี่ปุ่นหรือนักท่องเที่ยวต่างก็ตกหลุมรักย่านแห่งนี้ด้วยกันทั้งนั้น และในบทความจากซีรีส์ "พื้นที่ในญี่ปุ่น" (Area of Japan) นี้ เราก็จะพาคุณไปรู้จักกับมุมสงบของโตเกียว ชิมอาหารประจำถิ่นอย่าง "มอนจายากิ" และชมวิวทิวทัศน์ที่ผสมผสานสไตล์ย้อนยุคเข้ากับความโมเดิร์นได้อย่างมีเอกลักษณ์ลงตัว เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปดูกันเลย!

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

บทความนี้อาจมีลิงก์พาร์ทเนอร์ หากคุณทำการซื้อผ่านลิงก์พาร์ทเนอร์ เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ

"สึคิชิม่า" อดีตย่านชนชั้นแรงงานสุดมีเสน่ห์

"สึคิชิม่า" (Tsukishima) เป็นเกาะเทียมที่สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1892 โดยการถมทะเลขึ้นมาตามแนวชายฝั่ง "แม่น้ำซูมิดะกาวะ" (Sumidagawa River) ถึงแม้ย่านนี้จะค่อนข้างเงียบเหงาเมื่อสร้างเสร็จใหม่ๆ แต่หลังจากที่มีการพัฒนาให้เป็นเขตอุตสาหกรรมในช่วงปลายยุคเมจิ (ค.ศ. 1868 - 1912) ก็มีเหล่าผู้ใช้แรงงานมาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก สภาพเมืองก็เลยเปลี่ยนตามไปด้วย มีทั้งบ้านเรือนที่ตั้งเรียงรายกันเป็นแถวและร้านค้าสำหรับคนในท้องถิ่น สินค้าทุกอย่างที่นี่จะราคาค่อนข้างถูก เพื่อให้ชาวบ้านที่เป็นชนชั้นแรงงานสามารถจับต้องได้ นอกจากนี้ก็ยังมีสถานบันเทิงต่างๆ ที่ตั้งใจเปิดขึ้นมาเพื่อดึงดูดชนชั้นกลางจากพื้นที่ข้างเคียงด้วย นับว่าเป็นสีสันและความมีชีวิตชีวาของย่านนี้เลย

โตเกียวต้องเผชิญกับความเสียหายอย่างหนักในช่วงศตวรรษที่ 20 จากเหตุการณ์ "แผ่นดินไหวครั้งใหญ่คันโต" (Great Kanto Earthquake) ใน ค.ศ. 1923 และการทิ้งระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ด้วยความที่ย่านสึคิชิม่าเป็นเขตอุตสาหกรรมที่สำคัญ พื้นที่บริเวณนี้จึงได้รับการฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว แถมยังได้รับการละเว้นจากการโจมตีทางอากาศเพราะอยู่ใกล้กับย่านที่เป็นโรงพยาบาลด้วย สึคิชิม่าจึงเป็นจุดที่เหมาะสำหรับการชมอาคารโบราณที่มีเอกลักษณ์มาก

"ถนนสึคิชิม่า มอนจา สตรีท" ย่านรวมร้านโบราณสุดคึกคัก

ไฮไลท์อย่างหนึ่งของย่านสึคิชิม่า คือ "สึคิชิม่า มอนจา สตรีท" (Tsukishima Monja Street) ถนนทางลาดที่ทอดตัวยาวเป็นระยะทางกว่า 500 เมตร ขนาบด้วยร้านค้ากว่า 80 ร้านที่ตั้งเรียงรายอยู่เต็มสองข้างทาง ถึงแม้ว่าถนนสายนี้จะมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า "ถนนนิชินากะ" (Nishinaka Street) แต่ก็มักจะถูกเรียกว่า "สึคิชิม่า มอนจา สตรีท" ด้วยความรักจากคนทั่วไป เนื่องจากที่นี่มีชื่อเสียงเรื่องเมนู "มอนจายากิ" (Monjayaki) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า "มอนจา" อาหารที่มีต้นกำเนิดในช่วงยุคเฮเซ (ค.ศ. 1989 - 2019)

ในปัจจุบัน ที่นี่มีร้านมอนจายากิมากมายเรียงกันเป็นแถวเพื่อรอต้อนรับนักท่องเที่ยว นอกร้านจะตกแต่งในสไตล์เรโทร และภายในก็อัดแน่นไปด้วยเสน่ห์แบบญี่ปุ่น เป็นการตกแต่งที่ดูสวยงามน่ามอง

ร้านค้าต่างๆ จะตั้งอยู่ติดกัน และแต่ละร้านก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองทำให้ดูน่าแวะน่าชมไปหมด คุณสามารถเพลิดเพลินกับการเดินเล่นไปตามถนนระหว่างที่ดื่มด่ำกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายจากอดีต หรือไม่ก็มองหาสถานที่ที่อยากแวะต่อได้ ถนนสายนี้ทั้งสายจะมีผ้าม่านสีน้ำเงินที่เรียกว่า "โนเร็น" (Noren) เป็นสัญลักษณ์เพื่อแสดงถึงความยินดีในการต้อนรับลูกค้าของชาวญี่ปุ่น และมีสัญลักษณ์พระจันทร์เสี้ยวที่ใช้สื่อถึงชื่อเกาะ "สึคิชิม่า" ที่มีความหมายว่า "เกาะพระจันทร์" นอกจากนี้ ช่องแบ่งระหว่างตัวอาคารก็ดูมีเสน่ห์เช่นกัน เพราะเต็มไปด้วยสิ่งที่บ่งบอกถึงวิถีชีวิตของผู้คน อย่างลังไม้ และต้นไม้สีเขียวขจี

ร้าน Tsukishima Monja Moheji ชิมมอนจายากิแบบสึคิชิม่าแท้ๆ

หากคุณได้แวะไปเที่ยวสึคิชิม่า สิ่งที่ไม่ควรพลาดเลยก็คือ การทานมอนจายากิ เพราะที่นี่ถือเป็นบ้านเกิดของเมนูนี้นั่นเอง! ถึงแม้จะไม่มีใครทราบต้นกำเนิดของมอนจายากิได้อย่างแน่ชัด แต่ก็คาดว่าเมนูนี้มีมาตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษที่ 20 โดยมีต้นกำเนิดมาจากขนมราคาถูกที่เรียกว่า "มอนจิยากิ" (Monjiyaki) เป็นขนมที่ทำด้วยแป้งเหลวบนกระทะแบนๆ และได้รับความนิยมในหมู่เด็กชาวท้องถิ่นเป็นอย่างมากระหว่างที่เกาะสึคิชิม่ากำลังอยู่ในช่วงพัฒนา ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่ามอนจิยากิได้ถูกพัฒนาและปรับปรุงจนกลายเป็นมอนจายากิอย่างในทุกวันนี้ เพราะนอกจากจะมีส่วนผสมที่เป็นแป้งเหลวๆ เหมือนกัน และใช้วิธีปรุงบนกระทะแบนเหมือนกันแล้ว ชื่อของทั้งสองเมนูนี้ก็ยังคล้ายกันมากอีกด้วย

ถึงแม้ว่าเมนูนี้จะเป็นเมนูท้องถิ่นของโตเกียว แต่ร้านมอนจายากิส่วนใหญ่ก็มักจะรวมตัวกันอยู่ในย่านอาซากุสะและสึคิชิม่าเท่านั้น แต่หากเทียบกันแล้ว คนส่วนใหญ่ก็จะชอบไปลิ้มลองมอนจายากิสูตรต้นตำรับแสนอร่อยของสึคิชิม่ากันมากกว่า

ร้าน Tsukishima Monja Moheji เป็นร้านที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในบรรดาร้านมอนจายากิทั้งหมด ที่นี่มีการตกแต่งให้ดูเหมือนรถม้า เป็นร้านที่ดำเนินการโดยพ่อค้าปลาและเปิดกิจการมานานกว่า 150 ปีแล้ว ร้านนี้จะใช้อาหารทะเลสดใหม่ที่ส่งตรงมาจาก "ตลาดโทโยสุ" ทุกวัน (Toyosu Market ตลาดปลาที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก) คุณสามารถสัมผัสกับรสชาติอันยอดเยี่ยมนี้ได้จากทั้งเมนูหลักและเมนูประจำฤดูกาลเลย

เนื่องจากร้านนี้มีเมนูที่ดูน่าทานอยู่เต็มไปหมด เราจึงไม่แน่ใจว่าควรลองมอนจายากิรสไหนดี และสุดท้าย พนักงานก็แนะนำให้เราลองเมนู Mentaiko Mochi Monja (เมนไทโกะคือไข่ปลาพอลแล็ครสเผ็ด) หลังจากที่สั่งไปไม่กี่นาที ทางร้านก็ยกชามใส่ส่วนผสมของเมนูซิกเนเจอร์นี้มาเสิร์ฟ ด้านบนมีกะหล่ำปลีใส่มาจนพูนชาม และก็มีโมจิหั่นเต๋ากับไข่ปลาเมนไทโกะสีชมพูเปล่งประกายโปะอยู่บนยอด ดูพร้อมสำหรับการเทลงบนกระทะแบนเลย

ร้านนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ทานมอนจายากิเป็นครั้งแรกมาก เพราะจะมีพนักงานมาทำให้คุณถึงโต๊ะ โดยคุณก็เพียงแค่ตั้งใจดูการเคลื่อนไหวระดับปรมาจารย์ ระหว่างที่พนักงานทำมอนจายากิให้คุณในชั่วพริบตาเท่านั้น!

มอนจายากิที่ทำเสร็จแล้วจะมีหน้าตาแปลกๆ ดูเหมือนชั้นอะไรบางอย่างที่มีส่วนผสมที่ระบุไม่ได้อยู่ปนๆ กันอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม รสชาติของมันก็จะทำให้คุณแปลกใจเช่นกัน เพราะทุกคำของมอนจายากินั้นอัดแน่นไปด้วยความอร่อยที่โลดแล่นไปทั่วปาก ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะซุปสต็อกของร้าน Tsukishima Moheji Monja นั้นเป็นซุปสูตรพิเศษที่ทำจากอาหารทะเล กระดูกไก่ และผักมิซูน่าจนได้ออกมาเป็นรสชาติที่อร่อยกลมกล่อม ช่วยขับเน้นมิติในรสชาติของส่วนผสมได้เป็นอย่างดี

เราเลือกชีสมาเป็นท็อปปิ้ง ซึ่งมันก็ช่วยทำให้รสชาติของเมนไทโกะกลมกล่อมยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มความเข้มข้นเข้าไปอย่างอ่อนโยน ทำให้ส่วนผสมที่อร่อยอยู่แล้วยิ่งอร่อยขึ้นไปอีก เมื่อคุณทานไปเรื่อยๆ บริเวณขอบของมอนจายากิจะเริ่มกรอบขึ้นมา ทำให้รสชาติเข้มข้นขึ้นไปอีก แต่ในขณะเดียวกัน ส่วนที่ยังเหลวอยู่ก็จะมีรสชาติของเมนไทโกะ ชีส และโมจิหนึบหนับอยู่อย่างชัดเจน คุณไม่จำเป็นต้องรีบทานมอนจายากิให้หมดทันที เพราะรสชาติของมันจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เมื่อสุกมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ บนโต๊ะก็ยังมีซอสและเครื่องปรุงอีกมากมายหลายอย่าง ทำให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนรสชาติได้ตามใจชอบด้วย

ถึงแม้ว่าเราจะมาร้านนี้ในช่วงบ่าย แต่ทุกโต๊ะก็เต็มไปด้วยลูกค้าที่นั่งคุยกันอย่างมีความสุขรอบกระทะแบนๆ ที่มีมอนจายากิทอดอยู่ เนื่องจากร้าน Tsukishima Monja Moheji เป็นร้านที่ดังมาก หากคุณไม่อยากเสียเวลารอคิว เราก็ขอแนะนำให้จองโต๊ะล่วงหน้าไว้ให้เรียบร้อย นอกจากนี้ ร้านสาขาหลักก็จะมีพื้นที่ค่อนข้างน้อย ดังนั้น หากคุณมากันหลายคน เราก็ขอแนะนำให้ไปที่สาขา Hanare หรือสาขา Hanare no Hanare แทน โดยทั้ง 2 สาขานี้ก็อยู่ในถนนสึคิชิม่า มอนจา สตรีทเช่นกัน 

นอกจากเมนูที่เราได้ลองกันไปแล้ว มอนจายากิผสมหมึกปลาหมึกก็เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ได้รับความนิยมในหมู่พนักงานด้วย หากคุณอยากได้รสชาติที่ดูท้าทายขึ้นมาหน่อย ก็อย่าลืมลองทานกันดูนะ!

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

ร้าน Tsukishima Kyuei สุดยอดเมล่อนปังแสนอร่อย

"เมล่อนปัง" (Melonpan) เป็นขนมญี่ปุ่นสุดที่รักของใครหลายๆ คน ซึ่งโดยปกติแล้วจะสามารถหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป ขนมนี้ตั้งชื่อตามลักษณะหน้าตาที่ดูเมือนเมล่อน (ถึงแม้ว่ารสชาติจะไม่เหมือนก็ตาม) แต่ถึงอย่างนั้น ความอร่อยก็เทียบไม่ได้เลยกับเมล่อนปังที่ทำสดๆ ใหม่ๆ เพราะฉะนั้น หากคุณอยากลิ้มลองความอร่อยแบบแท้ๆ แล้วล่ะก็ ขอให้ตรงไปที่ร้าน Tsukishima Kyuei กันได้เลย!

ร้านนี้ก็ตั้งอยู่บนถนนสึคิชิม่า มอนจา สตรีทเช่นกัน และก็ได้รับความนิยมอย่างท่วมท้นมานานหลายปีแล้ว บริเวณหน้าร้านจะมีโปสเตอร์ที่เป็นรายการโทรทัศน์ที่ร้านนี้เคยไปออก ซึ่งบ่งบอกถึงความมีชื่อเสียงของร้านได้เป็นอย่างดี เมื่อเดินผ่าน เราก็โดนกลิ่นหอมฟุ้งสะกดให้เดินเข้าไปหา ราวกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟเลยทีเดียว

ร้าน Tsukishima Kyuei จะทำขนมอบต่างๆ อยู่ตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็นพายแฮนด์เมด ครัวซองส์ ฯลฯ และหากมีขนมอันไหนกำลังจะหมด พวกเขาก็จะอบมาเพิ่มเพื่อเติมให้เต็มอยู่เสมอ สินค้าน่าทานของพวกเขาเรียงรายกันอยู่เต็มชั้นริมหน้าต่าง ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่เดินผ่านไปมาให้ต้องแวะเข้าไปชิม สินค้าซิกเนเจอร์ของร้านนี้ คือ "เมล่อนปัง" ซึ่งแน่นอนว่าเราก็ได้ซื้อมาลองด้วยเช่นกัน รวมถึงพายแอปเปิ้ลหน้าตาน่าทานกับขนมรัสค์เมล่อนปังอีกถุงหนึ่งด้วย

โดยทั่วไปแล้ว ขนมเมล่อนปังแบบถุงมักจะมีรสสัมผัสที่นุ่มหยุ่นเหมือนฟองน้ำ และบนหน้าก็จะมีส่วนที่กรอบๆ อยู่เล็กน้อย แต่ขนมของร้าน Tsukishima Kyuei แห่งนี้มีรสสัมผัสที่นุ่มฟู และผิวหน้าก็กรอบอร่อยมากๆ เราสามารถเห็นน้ำตาลเป็นเม็ดๆ ส่องแสงเป็นประกายราวกับคริสตัลอยู่บนร่องขนมสีน้ำตาลทองได้เลย น้ำตาลนี้จะช่วยเพิ่มรสหวานให้กับเมล่อนปัง และมันก็จะละลายในปากในทุกๆ คำที่เรากัดลงไป ไม่น่าแปลกใจเลยที่มีคนมากมายเดินทางมาถึงสึคิชิม่าเพื่อชิมเจ้าสิ่งนี้!

นอกจากนี้ พายแอปเปิ้ลก็อร่อยไม่แพ้กัน ไส้แอปเปิ้ลหวานฉ่ำที่จับคู่กับแป้งกรอบหอมเนยนี้อร่อยลงตัวมาก เราทานหมดกันก่อนที่จะรู้ตัวด้วยซ้ำ และมันก็ทำให้เรารู้สึกมีอิ่มอกอิ่มใจและความสุขมากๆ แต่ก็ทำให้เรารู้สึกอยากทานขนมหวานเพิ่มอีกเช่นกัน โชคดีที่เรายังมีรัสค์เมล่อนปังแสนอร่อยอีกถุงหนึ่งด้วย หากจะให้พูดกันตรงๆ มันก็คือส่วนกรอบๆ ที่เป็นหน้าของเมล่อนปังนั่นเอง แต่ก็ยังคงความอร่อยแบบสวรรค์สร้างของเมล่อนปังอบใหม่ของร้าน Tsukishima Kyuei เอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม คุณสามารถซื้อขนมห่อเหล่านี้เป็นของฝากชั้นยอดได้ แต่บอกไว้ก่อนเลยว่าผู้รับจะต้องรู้สึกอิจฉาคุณที่ได้กินเมล่อนปังแท้ๆ ที่อบมาใหม่ๆ แน่นอน!

Klook.com

"สะพานสึคุดะโคบาชิ" โครงสร้างแบบโบราณที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางดงคอนกรีต

เมื่อเดินจากถนนสึคิชิม่า มอนจา สตรีทมาไม่ไกล คุณก็จะมาถึงย่านที่อยู่อาศัยที่ดูมีเสน่ห์และเต็มไปด้วยร้านค้าสไตล์ย้อนยุคซึ่งเรียกว่า "สึคุดะ" (Tsukuda) ที่นี่ดูโดดเด่นยิ่งขึ้นเมื่อมีตึกสูงระฟ้าของโตเกียวเป็นฉากหลัง

พื้นที่สึคุดะนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 โดยเหล่าชาวประมงจากพื้นที่ที่เป็นจังหวัดโอซาก้าในปัจจุบัน พวกเขาได้รับคำเชิญจาก "โทกูงาวะ อิเอยาสุ" (Tokugawa Ieyasu โชกุนผู้บัญชาการทหารในสมัยนั้น) ให้ช่วยมาเป็นกำลังสำคัญให้กับอุตสาหกรรมการจับปลาในเอโดะ (โตเกียวในปัจจุบัน)

ถนนที่มีเสน่ห์สายนี้เต็มไปด้วยการผสมผสานระหว่างตึกอพาร์ตเมนต์ร่วมสมัยและอพาร์ตเมนต์แบบโมเดิร์น เราสังเกตเห็นสีสันสดใสนี้กันแต่ไกล และเมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ เราพบว่าเป็นสีของสะพานสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิมที่ตั้งอยู่อย่างสงบท่ามกลางทิวทัศน์เมืองอันทันสมัยของกรุงโตเกียว ราวสะพานสไตล์ญี่ปุ่นสีแดงชาดนี้ตัดกับสีสันของสภาพแวดล้อมรอบตัวที่เต็มไปด้วยอาคารและอพาร์ตเมนต์สไตล์ย้อนยุคได้อย่างโดดเด่น ถึงแม้ว่าสะพานนี้จะสร้างขึ้นใน ค.ศ. 1984 แต่คุณก็สามารถรับรู้ได้ถึงสภาพภูมิศาสตร์ของพื้นที่นี้ระหว่างที่มีการพัฒนาได้ด้วย สะพานนี้ตั้งอยู่ในทำเลที่แทบจะทับซ้อนกับคูน้ำรอบเมืองซึ่งคอยทำหน้าที่แบ่งเกาะสึคุดะเป็นฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกเลย

สะพานนี้หันหน้าเข้าสู่ท่าจอดเรือขนาดเล็กที่ใช้ผูกเรือจับปลาของชาวบ้านในท้องถิ่น คุณจะได้เห็นเรือน้อยเหล่านี้แกว่งไกวเบาๆ อยู่เหนือน้ำเมื่อยังไม่ถูกใช้งาน นอกจากนี้ พื้นที่รอบๆ นี้ก็เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แบบท้องถิ่นมากมาย มีทั้งที่อยู่อาศัย ร้านค้า และสวนสาธารณะขนาดเล็ก คุณจะได้เห็นผู้คนที่ออกมาเดินเล่นตามท้องถนนและทักทายกันอย่างมีความสุขด้วย เป็นมุมเล็กๆ ที่น่าชื่นใจในไลฟ์สไตล์ของชาวญี่ปุ่นเลยล่ะ

วิวจากสะพานแห่งนี้จะทำให้คุณเห็นความทันสมัยของโตเกียวได้อย่างชัดเจน แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เห็นการผสมผสานของความเก่าและใหม่ด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีสวนสาธารณะขนาดเล็กที่อยู่ติดกับสะพานซึ่งนับเป็นหนึ่งในสถานที่พักผ่อนชั้นยอด คุณจะได้นั่งพักบนม้านั่งที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้และพุ่มไม้มากมาย ระหว่างที่ชมวิวสะพานที่ทอดตัวอยู่เหนือแม่น้ำ โดยมีตึกจำนวนมากรวมตัวกันเป็นฉากหลังสุดอลังการ

"ซูมิดะกาวะ ริเวอร์ เทอเรซ" จุดชมวิวโตเกียวบนเส้นขอบฟ้าอันน่าทึ่ง

"ซูมิดะกาวะ ริเวอร์ เทอเรซ" (Sumidagawa River Terrace) เป็นทางเดินยาวที่สร้างขนานไปกับแม่น้ำซูมิดะกาวะ มีระยะทางรวมทั้งสิ้นกว่า 32 กิโลเมตร เลียบไปตามเส้นทางน้ำของแม่น้ำในกรุงโตเกียว นอกจากนี้ก็ยังพาดผ่านย่านสึคิชิม่า และย่าน "คาจิโดกิ" (Kachidoki) ที่อยู่ข้างๆ กันด้วย ถึงแม้ว่าทางเดินนี้จะได้รับความนิยมในฐานะจุดวิ่งจ๊อกกิ้งและเดินเล่นยอดนิยม แต่เราก็มาเดินเป็นระยะทางสั้นๆ เพื่อไปนั่งพักผ่อนชมวิวริมแม่น้ำกันเท่านั้น หลังจากที่เดินเล่นชมตึกที่เห็นอยู่ไกลๆ กันสักพัก เราก็ไปนั่งพักกันบนม้านั่งตัวหนึ่งและมองข้ามแม่น้ำไป ชมเรือที่จอดอยู่เหนือผืนน้ำสีฟ้าที่พัดอยู่เป็นระลอก พลางสูดกลิ่นเกลือที่ลอยอยู่ในอากาศ

เทอเรซแห่งนี้มีวิวของกรุงโตเกียวที่ตั้งอยู่บนเส้นขอบฟ้าอย่างสวยงาม หากคุณเลือกจุดชมและมุมดีๆ แล้ว ก็จะสามารถเห็นไปได้ไกลถึง "โตเกียวทาวเวอร์" (Tokyo Tower) และ "โตเกียวสกายทรี" (Tokyo Skytree) เลยทีเดียว ถึงแม้ว่าในช่วงกลางวัน ตึกทั้งสองนี้จะดูกลมกลืนไปกับตึกอื่นรอบๆ ตัว แต่เมื่อตกกลางคืน ทั้งคู่ก็จะส่องสว่างขึ้นมาด้วยแสงของไฟประดับ ดูโดดเด่นอยู่ท่ามกลางแสงไฟระยิบระยับของตึกระฟ้าในกรุงโตเกียว เป็นบรรยากาศสุดโรแมนติกที่แตกต่างจากช่วงกลางวันอย่างลิบลับ

เพลิดเพลินกับบรรยากาศสไตล์ย้อนยุคโดยไม่ต้องออกจากโตเกียว!

สึคิชิม่าเป็นย่านที่มีเอกลักษณ์ที่อยู่ในโตเกียว มีการผสมผสานความงดงามสไตล์เรโทรเข้ากับความโมเดิร์นและทิวทัศน์ริมแม่น้ำแสนสวยได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ ที่นี่ก็ยังเป็นหนึ่งในพื้นที่ไม่กี่แห่งที่คุณสามารถลิ้มลองมอนจายากิสูตรต้นตำรับได้! หากคุณกำลังมองหาสถานที่เปลี่ยนบรรยากาศโดยไม่ต้องไปไกลจากแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของโตเกียวแล้วล่ะก็ ต้องไม่พลาดเกาะสึคิชิม่าแห่งนี้!

หากมีคำถาม คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา สามารถติดต่อและติดตามเราผ่านทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ได้เลย !

มนต์เสน่ห์คันโต

เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่

รับส่วนลดมากมายในญี่ปุ่น ที่นี่!

เกี่ยวกับนักเขียน

Kim
Kim S.
เกิดและโตในอเมริกา ปัจจุบันทำงานอยู่ในละแวกโตเกียว ชอบวัฒนธรรมญี่ปุ่นดั้งเดิมเป็นพิเศษ มักเดินทางไปสถานที่ลับๆ หรือย่านเงียบสงบทั่วญี่ปุ่นเพื่อตามหาบรรยากาศท้องถิ่นหรือย้อนยุคที่ทำให้รู้สึกได้ย้อนเวลาไปในอดีต นอกจากนี้ยังชอบออกตามหาสถานที่พิเศษๆ ที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักและร้านกาแฟอร่อยๆ ทั่ว 47 จังหวัดของญี่ปุ่น
  • แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

ค้นหาร้านอาหาร