Mikuni Minato และเมือง Sakai : ศูนย์กลางการค้าเก่าแก่ที่มีวิวย้อนยุคและเมนูปูอร่อยๆ

Mikuni Minato เป็นศูนย์กลางการค้าขายที่เคยรุ่งเรืองอยู่ในอดีต ตั้งอยู่บนฝั่งติดทะเลของเมือง Sakai จังหวัด Fukui ปัจจุบันหลงเหลือไว้ด้วยทิวทัศน์บ้านเมืองแบบญี่ปุ่นโบราณ เมือง Sakai เต็มไปด้วยธรรมชาติและประวัติศาสตร์ที่ทำให้ผู้คนมากมายหลงใหล เป็นที่ตั้งของปราสาทโบราณ Maruoka และหน้าผาเสาหินเหลี่ยม Tojinbo ทั้งยังมีกิจกรรมสนุกๆ อย่างธีมปาร์ค และอาหารทะเลอร่อยๆ อย่างปูหิมะให้เพลิดเพลิน ในบทความนี้ เราจะมาเล่าประสบการณ์ทริป 3 วันใน Mikuni Minato และเมือง Sakai พลางแนะนำให้คุณรู้จักกับเสน่ห์ที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของบริเวณนี้

* บทความนี้เขียนขึ้นโดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัท NTT Business Solutions

Mikuni Minato (三國湊) และเมือง Sakai (坂井市)

Mikuni Minato เป็นเมืองท่าเก่าแก่ที่อยู่ในเมือง Sakai ทางภาคเหนือของจังหวัด Fukui เป็นย่านเล็กๆ ที่มีชื่อเสียงจากสถานที่ทางธรรมชาติและประวัติศาสตร์ รวมถึงอาหารทะเลอร่อยๆ บริเวณนี้เคยรุ่งเรืองในฐานะเมืองท่าของเส้นทางเดินเรือ Kitamaebune ซึ่งเชื่อมต่อโอซาก้าและฮอกไกโดอยู่ในยุคเอโดะ (ปี 1603-1868) โดยเรียงรายไปด้วยที่พักเกอิชา โรงเก็บของ และบ้านเรือนหรูหรามากมาย

ความเฟื่องฟูของ Mikuni Minato ได้ถดถอยไปพร้อมๆ กับการพัฒนาขึ้นของขนส่งทางรถไฟ อย่างไรก็ตาม สิ่งก่อสร้างต่างๆ ก็ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองในอดีต และอบอวลไปด้วยบรรยากาศที่ดีงามแบบสมัยก่อน บริเวณรอบๆ เมือง Sakai มีสถานที่อย่าง Tojinbo ที่โดดเด่นไปด้วยผาสูงชัน และปราสาท Maruoka ซึ่งเป็นปราสาทไม่กี่แห่งในญี่ปุ่นที่มีอาคารหลักหลงเหลือมาถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ เมือง Sakai ยังมีจุดทำกิจกรรมและธีมปาร์คที่มีเอกลักษณ์อยู่หลายแห่ง เป็นสถานที่ที่เหมาะมากสำหรับทริปครอบครัวและผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัย

การเดินทางไป Mikuni Minato

คุณสามารถเดินทางไป Mikuni Minato โดยใช้บริการรถไฟ Echizen สาย Mikuni Awara ที่วิ่งเชื่อมระหว่างสถานี Fukui (เมือง Fukui) กับสถานี Mikuni เป็นวิธีที่สะดวกและมีวิวสวยๆ ให้ชม ทั้งยังมีตั๋ว 1 วัน ที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตั๋วที่สะดวกคุ้มค่านี้มีวิธีใช้บริการโดยทำการซื้อล่วงหน้าผ่านทางอินเตอร์เน็ต จากนั้นก็นำไปแลกเป็นตั๋วตัวจริงที่สถานี Fukui ซึ่งเป็นสถานีทางผ่านของรถไฟชินคันเซ็น การเดินทางจากสถานี Fukui ไปสถานี Mikuni ที่อยู่เกือบสุดสายนั้นใช้เวลาประมาณ 50 นาที และเดินต่อเพียงไม่กี่นาทีก็จะถึงย่านเมืองเก่าของ Mikuni Minato นอกจากนี้ ที่สถานีก็ยังมีจักรยานเช่าให้ใช้บริการอยู่ในราคาที่สบายกระเป๋าอีกด้วย

・เที่ยวชมเมือง Sakai โดยเริ่มต้นจาก Mikuni Minato

บริเวณ Mikuni Minato มีสิ่งน่าสนใจอยู่มากมาย กรณีที่อยากเที่ยวจุดอื่นๆ ของเมือง Sakai อย่างปราสาท Maruoka ด้วย รถเช่าก็เป็นตัวเลือกที่เราขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง ในเดือนมีนาคมปี 2024 นี้จะมีร้านเช่ารถเปิดกิจการขึ้นที่สถานี Awara Onsen ของรถไฟ Hokuriku Shinkansen สะดวกมากสำหรับการเดินทางมาจากโตเกียว

ที่พัก : Auberge Homachi Mikuni Minato (オーベルジュほまち 三國湊)

สำหรับทริป Mikuni Minato ในครั้งนี้ เราได้เลือกเข้าพักที่ Auberge Homachi Mikuni Minato โดยรีโนเวทมาจากบ้านเรือนเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในช่วงปี 1800-1900 ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ภายในตัวเมือง ที่พักแต่ละหลังมีจุดเด่นเป็นของตัวเอง แสดงให้เห็นถึงรสนิยมในยุคนั้น ในขณะเดียวกันก็ได้รับการปรับคุณภาพให้ตอบสนองความต้องการยุคปัจจุบันด้วยเช่นกัน

อาคารที่เราเข้าพักเป็นอพาร์ทเม้นท์ที่ภายนอกดูกลมกลืนไปกับทิวทัศน์บ้านเมืองเก่าแก่ ส่วนภายในก็แฝงไปด้วยบรรยากาศที่เก๋ไก๋และสะดวกสบาย อพาร์ทเม้นท์นี้อยู่ลึกเข้าไปใน Mikuni Minato เหมาะมากสำหรับการเดินชมบ้านเมืองเก่าแก่ ทั้งยังอยู่ห่างจากสถานี Mikuni โดยเดินเพียง 5 นาที สะดวกต่อการเดินทางเป็นอย่างยิ่ง

ภายในอาคารได้หลงเหลือคานไม้ดั้งเดิมไว้ ช่วยให้สามารถรับชมงานไม้ที่ยอดเยี่ยมของยุคนั้นได้ มีการให้ชีวิตใหม่กับสิ่งเก่าแก่ เช่น ทางเดินที่สร้างขึ้นจากหินเก่า และแจกันดอกไม้ที่ดัดแปลงมาจากฮิบาจิ (อุปกรณ์ให้ความร้อนดั้งเดิมของญี่ปุ่น) ที่พักนี้เป็นแบบบริการตัวเอง สามารถใช้ครัว ตู้เย็น และเครื่องซักผ้าได้อย่างอิสระ ช่วยให้พักผ่อนได้อย่างเป็นส่วนตัว ครัวนั้นครบครันไปด้วยอุปกรณ์มากมาย เหมาะสำหรับซื้อวัตถุดิบจากตลาดในตัวเมืองมาปรุงรับประทานเอง ส่วนที่นอนก็เป็นของแบรนด์ Simmonds ที่กว้างขวางมาก ช่วยให้นอนหลับได้อย่างสบายๆ

ในช่วงกลางคืนเราได้รับประทานมื้อค่ำที่ Tateru Yoshino Mikuniminato ซึ่งเป็นภัตตาครชั้นหรูของ Mikuni Minato เราได้ลิ้มรสอาหารฝรั่งเศสชั้นเลิศที่ทำขึ้นจากวัตถุดิบท้องถิ่น ปรุงขึ้นโดยคุณ Yoshino Tateru ผู้เป็นเชฟชื่อดังที่ได้รับรางวัลมิชลิน พลางสนุกไปกับการพูดคุยกับแขกคนอื่นๆ ของอพาร์ทเม้นท์แห่งนี้

Auberge Homachi Mikuni ปัจจุบันมีที่พักเพียง 9 หลัง 16 ห้อง จึงขอแนะนำให้จองล่วงหน้าไว้ก่อน โดยสามารถตรวจสอบรายละเอียดและทำการจองได้ที่เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ

วันที่ 1 : ทิวทัศน์บ้านเมืองเก่าแก่ใจกลาง Mikuni Minato

ทิวทัศน์บ้านเมืองเก่าแก่ของ Mikuni Minato

หลังจากผ่อนคลายที่ Auberge Homachi Mikuni Minato แล้ว เราก็ออกเดินทางไปที่ย่านเมืองเก่า Mikuni Minato ที่หลงเหลือไว้ด้วยบรรยากาศเมืองท่ายุคเอโดะ ระหว่างทางเราได้แวะชิมสาเกมันจูที่เป็นของขึ้นชื่อท้องถิ่นที่ร้านขนม Nishisaka (にしさか) และ Koyamaya (小山屋) กลิ่นหอมและรสชาติเข้มข้นของมันช่วยเติมพลังในการเดินทางได้เป็นอย่างดี

ถัดจากร้านขนม Nishisaka และ Koyamaya ไม่กี่เมตรเป็นที่ตั้งของทางแยก Kitamae-dori (北前通り) ที่มีสิ่งน่าสนใจมากมาย เมืองเลี้ยวจากตรงนี้ไปทิวทัศน์เมืองใหญ่ก็จะเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน กลายเป็นบรรยากาศเก่าแก่ของเมืองท่าที่เคยรุ่งเรืองอยู่ในอดีต

Kitamae-dori เป็นราวกับแกลเลอรี่ที่มีชีวิตของ Mikuni Minato ในยุคที่รุ่งเรืองที่สุด บ้านเก่าแก่ที่เรียงรายอยู่อย่างใกล้ชิดแสดงออกถึงบรรยากาศในยุคนั้นได้อย่างชัดเจน มีทั้งอาคารที่ถูกรีโนเวทให้เป็นร้านเสื้อผ้ายุคปัจจุบัน และอาคารที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างยาวนาน บรรยากาศเรียบง่ายแบบโบราณนี้มีระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร และมีศาลเจ้า Mikuni ที่สง่างามตั้งอยู่ตรงปลายเส้นทาง

・Kyu Kishinake (旧岸名家)

ด้วยความอยากเห็นอีกด้านหนึ่งของวิวบ้านเมืองนี้ เราจึงแวะไปที่ Kyu Kishinake บ้านของพ่อค้าผู้มั่งคั่งที่สร้างขึ้นในปลายยุคเอโดะ บ้าน 2 ชั้นนี้เปิดให้คนทั่วไปเข้าชมได้ ภายในห้องเสื่อทาทามิที่โอ่อ่านั้นเรียงรายไปด้วยของจัดแสดงทรงคุณค่ามากมาย เช่น ครัวแบบย้อนยุค และลิ้นชัก Mikuni (三国箪笥) ซึ่งเป็นงานฝีมือท้องถิ่นที่ดูหรูหราสง่างาม

ติดกับอาคารนี้เป็นที่ตั้งของ Mikuni Minato Machiyakan (三国湊町家館) ที่ภายนอกมีสีแดงสดชวนสะดุดตา ส่วนฝั่งตรงข้ามก็มี Machi Nokura (マチノクラ) พิพิธภัณฑ์เอกสารเล็กๆ ที่สามารถเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่นได้

・Kyu Morita Ginko Honten (旧森田銀行本店)

เมื่อเดินไปตามถนน Kitamae-dori ก็จะพบกับ Kyu Moritaginko Honten ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นในวิวบ้านเมืองที่เงียบสงบ กำแพงอิฐที่โอ่อ่าและการตกแต่งที่หรูหราของอาคารนี้ ให้บรรยากาศที่ตัดกันอย่างสวยงามกับบ้านเรือนไม้ในบริเวณรอบข้าง

Kyu Moritaginko Honten เป็นอาคารในดีไซน์ยุโรปที่ดูคลาสสิก สร้างขึ้นในปี 1920 โดยตระกูล Morita ซึ่งเป็นตระกูลพ่อค้าผู้มั่งคั่ง สามารถเข้าชมภายในอาคารที่โอ่อ่าได้อย่างฟรีๆ บริเวณโถงใหญ่มีการแบ่งพื้นที่ด้วยเคาน์เตอร์ทรงโค้งยาวที่ทำขึ้นจากไม้เคยากิ ส่วนฝั่งตรงกันข้ามก็มีห้องตู้เซฟ เลานจ์น่านั่ง และห้องประชุมที่หรูหรา บ่งบอกถึงความเฟื่องฟูด้านการเงินในอดีตของบริเวณนี้ เพดานของอาคารนี้สูง ปลอดโปร่ง และประดับประดาอย่างโอ่อ่าด้วยประติมากรรมยิปซัมทรงนูนที่ประณีตบรรจง

・จุดน่าสนใจอื่นๆ ของถนน Kitamae-dori

ระหว่างเดินชม Mikuni Minato ไกด์ของเราแนะนำให้ลองมองที่เท้าเพื่อดู Shakudani (笏谷石) หินเถ้าภูเขาไฟชนิดหนึ่งที่มีสีสวยงามราวกับหยก ซึ่งจะถูกใช้อยู่ตามริมถนนและพื้น

Shakudani เป็นหินที่ถูกขุดกันมาเป็นระยะเวลากว่าพันปีจากภูเขา Asuwa (足羽山) ของเมือง Fukui ที่อยู่ใกล้ๆ กัน โดยสามารถพบได้ที่บริเวณดังกล่าวเท่านั้น ปัจจุบันมีการสั่งห้ามขุดหินนี้ ส่งผลให้มันกลายเป็นของหายากชนิดหนึ่ง อย่างไรก็ตาม Mikuni Minato ก็มีการใช้หินดังกล่าวอย่างหรูหรา สีฟ้าอมเขียวของมันจะโดดเด่นขึ้นเมื่อเปียกน้ำ แผ่กว้างไปด้วยทิวทัศน์สีสันสดใสในวันที่ฝนตก

ถนน Kitamae-dori และบริเวณโดยรอบมีสิ่งน่าสนใจอยู่มากมาย เช่น วัด Kinpoji (金鳳寺) ที่เคยเป็นจุดรวมตัวของกวีไฮกุ, Demura (出村) อดีตย่านรื่นเริงที่ปัจจุบันมีบรรยากาศแบบบ้านๆ, และคฤหาสน์หลักของตระกูล Morita ที่ดูโดดเด่น ช่วยให้จินตนาการได้ถึงประวัติศาสตร์ที่เคยรุ่งเรืองของ Mikuni Minato

・กิจกรรมที่ Mikuni Minato : ห้องเรียนซามิเซ็นและอื่นๆ

แม้ว่าการเดินชมประวัติศาสตร์จะสนุกไม่น้อย แต่กรณีที่อยากดื่มด่ำกับ Mikuni Minato อย่างเต็มที่ กิจกรรมสัมผัสประสบการณ์ก็เป็นสิ่งที่ห้ามพลาดมากๆ บริเวณ Kitamae-dori มีสถานที่ให้ลองสัมผัสกับศิลปะญี่ปุ่นดั้งเดิมมากมาย เช่น โถงแสดงดนตรี ห้องเรียนซามิเซ็น (เครื่องสายญี่ปุ่น) การลองทำบอนไซ และการลองทำโคมไฟกระดาษ

เราได้เลือกเรียนซามิเซ็นที่ Takeyoshi (竹よし) ซึ่งเป็นบ้านเรือนในดีไซน์หรูหราราวกับอยู่ในเกียวโต ผู้เชี่ยวชาญซามิเซ็นประสบการณ์กว่า 60 ปีได้เล่นเพลงเก่าซึ่งเคยฮิตอยู่ในช่วงที่ Mikuni Minato รุ่งเรืองอยู่ให้เราฟัง หลังจากฟังเสร็จแล้ว เราก็ได้ขึ้นไปบนเวทีพร้อมๆ กับเธอ และเล่นดนตรีสดสไตล์เอโดะโดยใช้ซามิเซ็นและเครื่องดนตรีญี่ปุ่นอื่นๆ อีก 3 อย่าง

วันที่ 2 : ธรรมชาติและประวัติศาสตร์บริเวณรอบนอกของ Mikuni Minato

พิพิธภัณฑ์ Ryusho แห่งเมือง Sakai (坂井市龍翔博物館)

ระหว่างการเดินชม Mikuni Minato ในวันแรก ภาพของพิพิธภัณฑ์ Ryusho ได้สะดุดสายตาของเราอยู่บ่อยครั้ง อาคารนี้ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินสูงที่ไกลออกไป มีกำแพงสีขาวและโดมสีไวน์ ตัดกันอย่างโดดเด่นกับวิวเมืองแบบบ้านๆ ที่แผ่กว้างอยู่เบื้องล่าง ในวันที่ 2 นี้เราจึงเลือกเดินไปบนเนินดังกล่าว เพื่อไขข้อข้องใจว่าภายในพิพิธภัณฑ์นี้มีเรื่องราวอะไรคอยให้ค้นหาอยู่บ้าง

อาคารนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1981 ในฐานะหอเอกสารที่ชื่อว่า Mikuni Ryushokan (みくに龍翔館) จากนั้นก็ได้รับการรีโนเวทเนื้อหาการจัดแสดงในปี 2023 และเปิดขึ้นเป็นพิพิธภัณฑ์ Ryusho ของเมือง Sakai ดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์ของอาคารได้ลอกแบบมาจากโรงเรียนประถมหรูหราที่เคยอยู่ใน Mikuni Minato และมีจุดชมวิวบนชั้น 4 ที่สามารถมองเห็น Mikuni Minato ได้อย่างทั่วถึง

ภายในอาคารมีแผ่นพับที่ให้ข้อมูลเบื้องต้นเป็นภาษาอังกฤษ นอกจากแผ่นพับนี้แล้วก็ไม่ค่อยมีการรองรับภาษาต่างชาติสักเท่าไร อย่างไรก็ตาม เนื่องจากจัดแสดงแบบจำลองและโบราณวัตถุที่น่าสนใจไว้มากมาย ถึงไม่มีคำอธิบายก็สามารถสัมผัสกับประวัติศาสตร์ของเมือง Sakai ได้อย่างเต็มที่ ช่วยให้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับกวีท้องถิ่นชื่อดัง อุตสาหกรรมสิ่งทอที่เคยรุ่งเรืองอยู่ในอดีต งานฝีมือ เส้นทางเดินเรือ Kitamaebune (รวมถึงแบบจำลองของเรือ) สุสานเก่าแก่ และวัฒนธรรมเครื่องปั้นโบราณของบริเวณนี้

อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ห้ามพลาดก็คือ แบบจำลองของรถพาเหรด Dashi (山車) ซึ่งเป็นรถพาเหรดขนาดใหญ่โตถึง 11 เมตรที่ใช้ใน Mikuni Matsuri (三国祭) เทศกาลท้องถิ่นชื่อดังที่จะจัดขึ้นในวันที่ 19-21 พฤษภาคมของทุกปี ด้านบนของรถ Dashi ทรงไม้ที่แข็งแรงนี้ประดับไว้ด้วยเปเปอร์มาร์เช่หุ่นซามูไรที่สร้างขึ้นอย่างละเอียดละออ ด้วยเหตุผลด้านการวางสายไฟรถ Dashi ที่จัดแสดงอยู่จึงถูกย่อให้มีขนาด 6 เมตร ทำให้จินตนาการได้เลยว่า Dashi ของจริงนั้นจะต้องใหญ่โตเป็นอย่างมาก

วัด Takidanji (瀧谷寺)

จุดหมายถัดไปของเราคือ Takidanji หนึ่งในวัดพุธเก่าแก่ที่โด่งดังของเมือง Sakai ทางเดินสู่อาคารหลักของวัดนี้มีลักษณะตรง ยาว และปูด้วยหิน Shakudani ทั้งยังถูกปกคลุมด้วยต้นสึบากิโค้งงอ ให้บรรยากาศราวกับตัดขาดจากโลกภายนอก มีบันทึกว่าผู้มีอำนาจจากพื้นที่อื่นๆ เช่น ตระกูล Asakusa และตระกูล Shibata เคยมาเยี่ยมชมวัดแห่งนี้ ให้ความรู้สึกราวกับว่ากำลังเดินตามรอยเท้าของเหล่าขุนพลผู้มีอำนาจอยู่

เมื่อมาถึงอาคารหลัก พื้นที่ภูเขาก็แปลงโฉมเป็นสวนที่สวยงาม เนื่องจากเรามาเยี่ยมชมในฤดูใบไม้ผลิ จึงมีใบไม้เปลี่ยนสีส่องประกายสีแดงและทองคอยต้อนรับอยู่ด้วย พื้นที่ของวัดกว้างขวางกว่า 45,000 ตารางเมตร มีสิ่งน่าสนใจให้ชมอยู่ทุกจุด อาคารหลักและอาคารโพธิสัตว์ Kanon เป็นอาคารทรงไม้ที่สวยงาม ภายในมีสมบัติเก่าแก่และแท่นบูชาที่ละเอียดลออ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อทางจิตวิญาณที่คงอยู่มาหลายศตวรรษ (ภายในอาคารห้ามถ่ายรูป)

เนื่องจากมีแผ่นพับภาษาอังกฤษที่ละเอียดมากๆ ให้บริการอยู่ตรงทางเข้าหลัก หากมีโอกาสก็ควรลองอ่านดูด้วย

Tojinbo (東尋坊)

สำหรับคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ เมื่อพูด Fukui ก็จะนึกถึง Tojinbo เป็นผาทะเลสูงชันที่ต่อเนื่องไปกว่า 1 กิโลเมตร ก่อตัวขึ้นจากเสาทรงห้าเหลี่ยมและหกเหลี่ยมที่เกิดจากการเย็นตัวลงของลาวาเมื่อ 13 ล้านปีก่อน เมื่อเวลาผ่านไปก็ค่อยๆ เผยตัวขึ้น เป็นชั้นหินที่หายากมากแม้แต่ในระดับโลก

จุดนี้สามารถเดินทางถึงได้โดยนั่งรถบัสประจำทางจากสถานี Mikuni สำหรับทริปของเราในครั้งนี้ เราได้เลือกเช่ารถและขับมาจาก Mikuni Minato โดยใช้เวลาเพียง 7 นาที หลังจากชมวิวจากบนผาแล้ว เราก็ขับลงไปตามถนนริมผา และชมลวดลายเรขาคณิตที่ซับซ้อนดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ภาพของคลื่นทะเลที่พัดเข้าสู่โขดหินนั้น ช่วยบอกเล่าถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของดาวโลกได้อย่างชัดเจน

・เรือชมวิว Tojinbo

ด้วยความอยากเห็น Tojinbo ในอีกมุมหนึ่ง เราจึงซื้อตั๋วเพื่อใช้บริการเรือชมวิว Tojinbo แค่ชมวิวบนหน้าผาก็รู้สึกตื่นเต้นแล้ว ใจของเราก็ยิ่งเต้นเร็วขึ้นไปอีกเมื่อได้ลงเรือที่แล่นอย่างคล่องแคล่วผ่านช่องน้ำแคบๆ ที่ขนาบโดยหินผาสองฝั่ง

ทริปเรือชมวิวชายฝั่งนี้ใช้เวลาประมาณ 30 นาที เป็นขุมทรัพย์ของวิวลับๆ ที่ไม่สามารถชมได้จากบนบก ทั้งยังผ่านแลนด์มาร์คน่าสนใจอื่นๆ ที่อยู่นอกชายฝั่ง Tojinbo เช่น Shishi Iwa (獅子岩) หินน่าถ่ายรูปที่ดูคล้ายกับหัวสิงโต, เวิ้งน้ำ Oike (大池) ที่ดูยิ่งใหญ่, และเนินหินทรงคลื่นของเกาะ Oshima (雄島) เนื่องจากรายละเอียดการให้บริการจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพอากาศ ก่อนแวะมา Tojinbo ก็ขอแนะนำให้ตรวจสอบล่วงหน้าจากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ

Shibamasa World (芝政ワールド)

นอกจากสิ่งน่าสนใจทางธรรมชาติและประวัติศาสตร์แล้ว สำหรับผู้ที่อยากเที่ยวเล่นตลอดวันหรือผู้ที่เดินทางมากับเด็กๆ ก็ขอแนะนำให้แวะไปที่ Shibamasa World ธีมปาร์คอันโด่งดังของ Fukui

Shibamasa World แผ่กว้างอยู่บนเขตเนินเตี้ยๆ ริมทะเล อัดแน่นไปด้วยเครื่องเล่นที่สามารถสนุกได้ทุกช่วงวัย และตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ขับรถเพียง 15 นาทีจาก Tojinbo หากแวะมาในฤดูร้อนก็ขอแนะนำสระว่ายน้ำที่มีสไลด์เดอร์กว่า 50 จุด จุดที่มีชื่อเสียงเป็นพิเศษก็คือ The Monster Slider ที่สูงกว่า 30 เมตรและสามารถลื่นพร้อมกันได้ 6 คน และ The Monster Wing ที่การันตีความหวาดเสียวด้วยการทิ้งดิ่ง 68 องศา ทั้งยังมีสิ่งน่าสนใจอีกมากมาย เช่น รถไฟเหาะของโซน Pirate และรถโกคาร์ทกับรถบักกี้ของโซน Active

Shibamasa World มีกิจกรรมแบบสบายๆ อยู่เช่นกัน เช่น เรือชมวิว กิจกรรมยิงธนู และมินิกอล์ฟบนคอร์สกลางแจ้งที่ได้รับการดูแลอย่างสวยงาม ส่วนโซน Kid's Paradise ที่อยู่ในร่มนั้นก็มีกิจกรรมมากมายให้เล่นอย่างอิสระ เช่น เครื่องเล่นและของเล่นขนาดยักษ์ ของเล่นจากนานาประเทศ เขาวงกต และการลองสวมบทบาทเป็นพนักงานซูเปอร์มาร์เก็ต

วันที่ 3 : เที่ยวชมเมือง Sakai

Eight Ribbon (エイトリボン)

ดังที่ได้เรียนรู้จากพิพิธภัณฑ์ Ryusho จังหวัด Fukui เป็นบริเวณที่ในอดีตเคยรุ่งเรืองด้วยอุตสาหกรรมผลิตสิ่งทอ ประวัติศาสตร์ของมันย้อนหลังไปหลายร้อยปี และมีศูนย์กลางอยู่ที่การผลิต Habutae (羽二重) ผ้าไหมญี่ปุ่นที่ใช้เป็นซับในของกิโมโนชั้นหรู

ในขณะที่วงการสิ่งทอได้เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสการเข้าสู่ยุคโมเดิร์น Eight Ribbon โรงงานริบบิ้นรีโนเวทใหม่เอี่ยมที่ตั้งอยู่รอบนอกเมือง Sakai ก็ยังคงส่องประกายไปด้วยจิตวิญญาณสิ่งทอท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง สถานที่นี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของทริปวันที่ 3 ของเรา

Eight Ribbon เป็นโรงงานที่ผลิตริบบิ้นหรูหราโดยผสมผสานสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน มีทั้งระบบควบคุมสมัยใหม่ที่รวดเร็ว เครื่องทอผ้ากระสวยเก่าแก่ที่เรียกว่าเครื่อง Jacquard และเทคนิคการทอผ้าดั้งเดิมของศตวรรษที่ 19

เราได้เข้าร่วมทัวร์พร้อมไกด์เพื่อชมโรงงานย้อนยุค ภายในเรียงรายไปด้วยเครื่องจักรที่กำลังปั่นด้ายอยู่อย่างแข็งขัน มีทั้งเครื่องจักรไม้ที่ดูเก่าแก่ และเครื่องทอผ้ากระสวยที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น เครื่องจักรเหล่านี้ได้รับการตั้งโปรแกรมโดยกระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้าสั้นๆ ราวกับบัตรเจาะรูของคอมพิวเตอร์สมัยก่อน และจะส่งเสียงเป็นจังหวะระหว่างทอริบบิ้น ชวนให้รู้สึกเหมือนกำลังถูกสะกดจิตอยู่เลย เป็นทัวร์ที่ช่วยให้เราเข้าใจเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของเครื่องจักร และความชาญฉลาดที่อยู่เบื้องหลังสิ่งเหล่านี้

・RIBBON’S CAFE

RIBBON’S CAFE เป็นคาเฟ่เก๋ไก๋ที่อยู่ข้างโรงงานของ Eight Ribbon เราได้รับประทานมื้อเช้าเป็นเครปนุ่มฟูจากแป้งที่มีส่วนผสมของข้าว Fukui สอดไส้ด้วยครีมและผลไม้ตามฤดูกาล

นอกจากนี้ RIBBON’S CAFE ยังมีเวิร์คช็อปให้เรียนรู้วิธีใช้จักรเย็บผ้าจากพนักงานผู้ชื่นชอบงานฝีมือ และนำริบบิ้น Jacquard สีสันสดใสที่ส่งตรงมาจากโรงงานมาทำเป็นพวงกุญแจหรือต่างหู ร้านนี้เหมาะสำหรับการเลือกซื้อของฝากด้วยเช่นกัน มีการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชั้นเลิศมากมายที่สร้างขึ้นโดยมืออาชีพ เช่น ของประดับแฟชั่น และสายรัดสำหรับกล้องหรือโทรศัพท์มือถือ

Chikuchiku Bonbon (ちくちくぼんぼん)

เราได้ขับรถต่อไปตามรอบๆ เมือง Sakai และเข้าสู่ป่าเขาที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ของเขต Takeda ซึ่งอยู่ในส่วนลึกของย่านเนินสูงนอกชานเมือง Chikuchiku Bonbon ตั้งอยู่บนถนนที่เต็มไปด้วยพืชสีเขียวขจี เป็นที่พักกึ่งศูนย์ทำกิจกรรมที่เพิ่งเปิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้ โดยรีโนเวทมาจากโรงเรียนประถมที่ถูกทิ้งร้างไป

Chikuchiku Bonbon มีกิจกรรมให้ทำอย่างหลากหลาย รองรับทุกฤดูกาล สภาพอากาศ และช่วงวัย โดยใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ของ Takeda กิจกรรมกลางแจ้งมีตัวอย่างเช่น เรือคายัค ปีนต้นไม้ เดินชมป่าพร้อมไกด์ผู้เป็นนักล่าสัตว์ในท้องถิ่น และกระดานลื่นหิมะในฤดูหนาว

นอกจากนี้ กิจกรรมในร่มก็มีอยู่มากมายเช่นกัน เช่น เวิร์คช็อปทำงานฝีมือ และการทำเส้นโซบะโดยใช้เครื่องมือและสูตรเฉพาะตัวของ Takeda กิจกรรมเหล่านี้จัดขึ้นโดยเน้นไปที่ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่น ช่วยให้เรียนรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิตชนบทของ Fukui ได้อย่างละเอียด

สิ่งที่พวกเราชอบที่สุดใน Chikuchiku Bonbon ก็คือ ตัวอาคารเรียนที่นำห้องเรียนเก่ามาให้บริการเป็นห้องพัก ห้องเรียนบางส่วนมีการจัดวางโต๊ะเรียนไว้เหมือนเก่า ให้ความรู้สึกราวกับได้เป็นตัวละครหลักที่อยู่ในอนิเมะเลยทีเดียว

ปราสาท Maruoka (丸岡城)

เนื่องจากผู้เขียนเป็นแฟนประวัติศาสตร์ตัวยง ปราสาท Maruoka จึงเป็นจุดท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่เฝ้าฝันมาอย่างยาวนาน ปราสาทนี้สร้างขึ้นเมื่อปี 1576 เป็น 1 ใน 12 ปราสาทยุคก่อนเอโดะที่มีตัวปราสาทหลักหลงเหลือมาสู่ยุคปัจจุบันในสภาพที่สมบูรณ์ สามารถชมภาพลักษณ์อันแท้จริงที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับปราสาทหลักที่ได้รับการรีโนเวทหรือฟื้นฟูขึ้นใหม่

ปราสาท Maruoka แตกต่างจากปราสาทอื่นๆ ที่หลงเหลืออยู่ในญี่ปุ่นยุคปัจจุบัน เมื่อเทียบกับเหล่าปราสาทโอ่อ่าที่สร้างขึ้นหลังปราสาทนี้หลายร้อยปี ก็จะพบว่าฐานล่างของปราสาทนี้มีรูปลักษณ์ภายนอกที่หยาบ ดุดัน และแข็งแกร่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด โดยสร้างขึ้นจากหินเล็กใหญ่ที่ไม่สม่ำเสมอกัน และโทนสีของไม้ที่ดูน่าเกรงขาม

สำหรับผู้เขียนที่ได้ชมปราสาทญี่ปุ่นมาแล้วอย่างนับไม่ถ้วน ความหยาบกร้านของปราสาท Maruoka นี้เองที่ทำให้มันโดดเด่นไปจากปราสาทอื่นๆ เมื่อมองคราวๆ ตัวปราสาทหลักอาจดูเหมือนอาคาร 2 ชั้น แต่จริงๆ แล้วก็เป็นอาคาร 3 ชั้นที่กว้างขวางมาก หลังคาถูกประดับด้วยหิน Shakudani ที่ส่องประกาย ชั้นชมวิวด้านบนสุดแผ่กว้างไปด้วยวิวพาโนราม่าที่ชวนให้ตกตะลึง กล่าวได้ว่ามีเสน่ห์อยู่มากมายจริงๆ ใกล้ๆ กันก็ยังเป็นที่ตั้งของสวนสาธารณะ Kasumigajo (霞ヶ城公園) ที่ช่วยเติมสีสันให้กับตัวปราสาท ช่วงต้นเมษายนจะเบ่งบานไปด้วยซากุระสีชมพู ส่วนช่วงปลายพฤศจิกายนที่เราเดินทางไปก็งดงามไปด้วยใบไม้เปลี่ยนเปลี่ยนสีที่ดูร้อนแรง

แต่ละชั้นมีการเปิดเสียงอธิบายภาษาอังกฤษเกี่ยวกับหน้าที่และประวัติศาสตร์ของปราสาท ส่วนที่ทางเข้าก็มีแผ่นพับภาษาอังกฤษที่ลงลึกถึงรายละเอียด ช่วยตอบสนองความอยากรู้ของพวกเราได้อย่างสมบูรณ์แบบ เนื่องจากช่วง 20:00 - 21:00 น. จะมีโชว์โปรเจคแมพปิ้งจัดขึ้น การมาเยี่ยมชมปราสาทที่ถูกไลท์อัพในช่วงกลางคืนก็น่าสนใจเช่นกัน

เมนูแนะนำของ Mikuni : ปู, บิ๊กเบอร์เกอร์, พิซซ่านาโปลีต้นตำรับ

ปูเอจิเซ็นของ Mikuni Inkyojo (みくに隠居処)

ปูเอจิเซ็นนับว่าเป็นราชาอาหารอร่อยของเมือง Sakai ปูเอจิเซ็นคือปูหิมะเพศผู้ที่จับขึ้นจากทะเลของจังหวัด Fukui และจะเข้าสู่ตลาดในช่วงพฤศจิกายนถึงมีนาคม ปูเอจิเซ็นมีเสน่ห์เป็นขนาดที่ใหญ่โต เนื้อที่อัดแน่น และรสหวานที่เข้มข้น ให้ประสบการณ์อาหารสุดหรูสมกับราคาที่สูงเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับผู้ที่อย่างลิ้มรสวัตถุดิบชั้นยอดนี้ เราขอแนะนำ Mikuni Inkyojo ร้านอาหารทะเลที่อยู่ในเขตริมน้ำของ Mikuni Minato ร้านนี้ให้บริการเมนูท้องถิ่นที่หลากหลาย หนึ่งในนั้นก็คือเมนูปูเอจิเซ็นที่ได้รับความนิยมมากเป็นพิเศษ เป็นเมนูหลากหลายไม่ว่าจะเป็นดิบ ต้ม หรือย่าง โดยทำขึ้นจากปูเอจิเซ็นสดๆ ที่ตักขึ้นมาจากตู้ปลาภายในร้าน

ปูเอจิเซ็นมีราคาสูงกว่า 1 หมื่นเยนเป็นเรื่องปกติ จึงขอแนะนำให้เตรียมบัตรเครดิตไปด้วย สำหรับผู้ที่ไม่อยากใช้งบอาหารมากขนาดนี้ ตัวเลือกอื่นๆ ในราคาที่เอื้อมถึงได้ก็มีให้ใช้บริการอยู่เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ปูเซโกะที่หมายถึงปูหิมะเพศเมีย มีขนาดเล็ก รูปร่างสวยงาม และอัดแน่นไปด้วยไข่ปูอร่อยๆ

สำหรับผู้ที่ไม่ได้ชอบปูเป็นพิเศษ เมนูอย่างทงคัตสึ สเต็ก โซบะ และอาหารทะเลอื่นๆ ก็มีให้เลือกอยู่เช่นกัน เนื่องจากเราอยากดื่มด่ำกับอาหารทะเลท้องถิ่นสดใหม่อย่างเต็มที่ จึงได้สั่งเมนูเป็นข้าวหน้าอาหารทะเล Mikuni และเซ็ตปลาโนโดกุโระย่างเกลือ

ข้าวหน้าอาหารทะเลอัดแน่นไปด้วยซาชิมิที่คัดสรรมาอย่างดี เช่น ทูน่า กุ้งหวาน (ของขึ้นชื่อของ Fukui) และไข่แซลมอน ทั้งยังประดับมาอย่างสวยงามด้วยเปลือกหอยโฮตาเตะและก้ามปู ส่วนเซ็ตปลาโนโดกุโระย่างเกลือก็เป็นการนำปลาโนโดกุโระสุดหรูจากทะเลญี่ปุ่นมาย่างเกลือทั้งตัวโดยใช้น้ำทะเลของ Fukui ให้รสชาติสดชื่น รับประทานง่าย และจะอร่อยยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อบีบมะนาวลงไป

แฮมเบอร์เกอร์ของ Mikuni Minatoza (三國湊座)

Mikuni Minatoza เป็นร้านอาหารเรียบง่ายที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งแสนสะดวกใจกลางถนน Kitame-dori สามารถลิ้มรส Mikuni Burger ซึ่งเป็นเมนูเด็ดใหม่ล่าสุดของบริเวณนี้

Mikuni Burger เป็นเมนูที่นำหัวหอม มะเขือเทศ ผักกาดหอม และแผ่นเบอร์เกอร์รสเข้มข้นที่ผสมผสานระหว่างเนื้อหมูกับเนื้อวัวญี่ปุ่น มาประกบด้วยขนมปังจากแป้งข้าวเจ้า มีจุดเด่นเป็นการปรุงรสที่ใส่มายองเนสและซอสบาร์บีคิวโฮมเมดอย่างเต็มที่ แต่สิ่งที่ทำให้เมนูนี้แตกต่างจากที่อื่นจริงๆ ก็คือ การใส่หัวหอมจีนที่ปลูกในท้องถิ่นลงไป เพื่อใช้หน้าตาที่คล้ายกับกระเทียมของมันแทนที่กระเทียมดอง

วัตถุดิบชิ้นหนาๆ ถูกทับซ้อนกันเป็นชั้นสูง ทำให้รสอูมามิอัดแน่นอยู่ในจุดเดียว รับรองว่าจะช่วยเพิ่มพลังในการท่องเที่ยวได้อย่างแน่นอน

พิซซ่าปูของ Birdland (バードランド)

นอกจากอาหารทะเลแล้ว พิซซ่านาโปลีต้นตำรับของร้าน Birdland ก็เป็นเมนูห้ามพลาดสำหรับเหล่านักชิมเช่นกัน เจ้าของร้านและเชฟผู้เป็นนักทำพิซซ่านาโปลีชื่อดัง จะทำการอบพิซซ่าให้เห็นกันอย่างจะๆ ผ่านเตาฟืน

นอกจากนี้ ช่วงกลางพฤศจิกายนถึงสิ้นธันวาคมก็มีเมนูลิมิเต็ดเป็นพิซซ่าปูเซโกะ (รูปด้านบน) ที่ไม่ควรพลาดจองเป็นอย่างยิ่ง
เป็นเมนูที่แป้งพิซซ่าเหนียวนุ่มร้อนๆ จะถูกท็อปปิ้งด้วยวัตถุดิบท้องถิ่นมากมาย เนื่องจากมีเมนูภาษาอังกฤษและพนักงานที่เป็นกันเอง จึงสามารถสั่งได้ง่ายๆ อีกด้วย

ดื่มด่ำความเป็นญี่ปุ่นโบราณผ่านประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ และอาหาร

เมือง Sakai มีทั้งวิวบ้านเมืองทางประวัติศาสตร์ อาหารอร่อยๆ ธรรมชาติที่น่าตื่นตา และกิจกรรมสนุกๆ ทั้งยังเป็นบริเวณที่ไม่แออัด ช่วยตอบโจทย์สิ่งที่เราอยากสัมผัสในญี่ปุ่นได้อย่างครบถ้วน สำหรับผู้ที่อยากสัมผัสทริปญี่ปุ่นโบราณซึ่งยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักสักเท่าไร ก็รับรองว่า Mikuni Minato และเมือง Sakai จะตอบสนองความต้องการของคุณได้อย่างแน่นอน

กิจกรรมและตั๋วต่างๆ ที่เรานำเสนอในบทความนี้สามารถจองและซื้อได้ผ่านเว็บไซต์ด้านล่าง เนื่องจากจะช่วยให้การเดินทางของคุณราบรื่นขึ้น หากมีโอกาสก็ขอแนะนำให้ลองเช็คไว้ด้วย

มนต์เสน่ห์ชูบุ

เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่

รับส่วนลดมากมายในญี่ปุ่น ที่นี่!

เกี่ยวกับนักเขียน

Steve
Steve Csorgo
เกิดและโตในเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ปัจจุบันอาศัยอยู่ในเมืองนีงาตะ มีงานอดิเรกเป็นการอ่านหนังสือ ท่องเที่ยวภายในญี่ปุ่น และหาสาเกท้องถิ่นใหม่ๆ สิ่งที่ชอบในญี่ปุ่นคือออนเซ็น โบราณสถาน และธรรมชาติที่ไม่ถูกสัมผัสโดยฝีมือมนุษย์ ชอบเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับงานฝีมือดั้งเดิม บ้านเมืองที่มีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร เรื่องน่าสนใจตามท้องถิ่น
  • แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

ค้นหาร้านอาหาร